top of page

คำให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๑๐๓ เรื่องร้าย ๆ ของผม

รูปภาพนักเขียน: drpanthepdrpanthep

ใครที่อ่านหนังสือ In Our Remembrance ซึ่งแจกเป็นที่ระลึกในพิธีฌาปนกิจศพอาจารย์ประเสริฐ วศินานุกร วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ มีเรื่องที่อาจารย์เสริฐเขียนไว้ในหน้า ๕๗-๕๘ ซึ่งผมเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยโดยตรง จนเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตของศัลย์ ม.อ. ของวงการ CVT ทำให้สถานการณ์ของหน่วย CVT ที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งแย่หนักเข้าไปอีกผมเคยเขียนเล่าเรื่องนี้คร่าว ๆ ไว้หลายปีแล้ว แต่คืนวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ศัลย์ ม.อ.ขอให้ผมเล่าถึงเหตุการณ์โดยละเอียด เล่าถึงสิ่งที่ผมต้องประสบ และพบว่าอาจารย์เสริฐเคยเขียนหยอดเรื่องนี้ไว้หน่อยนึง ผมจึงคิดว่าเหตุการณ์มันผ่านไป ๒๕ ปีแล้ว มันหมดอายุความคดีอาญาไปแล้ว ถ้าผมติดคุกในวันนั้นป่านนี้ผมก็ออกมานั่งจิบกาแฟนอกคุกแล้ว ผมจะเล่าแบบละเอียดระบุตัวตนผู้ที่เกี่ยวข้องไปเลยดีกว่า ติดตามอ่านกันนะครับก็ต้องขออภัยผู้ที่ถูกผมเอ่ยถึงทุกคน หลายคนจากโลกนี้ไปแล้วหลายคนยังวนเวียนกับวิบากกรรมหลายคนผมไม่เคยลืมบุญคุณหลายคนผมยังมีโอกาสเจอหน้าค่าตา แต่หลายคนไม่เจอกันเลยหลายคนที่เป็นคู่กรณี ผมก็ขออโหสิกรรมในสิ่งที่ผมกระทำไป และอโหสิกรรมให้กับสิ่งที่ผมโดนกระทำ


อาจารย์เสริฐเล่าว่าปี ๒๕๒๕ รพ.สงขลานครินทร์เริ่มให้บริการ ผมขอเสริมว่าช่วงนั้นอาจารย์คิดว่าจะเปิดทำผ่าตัด open heart surgery จึงมีการเตรียมทีมมีการส่งพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่หน่วยก้านดีไปทำการฝึกอบรมเพิ่มเติมคือคุณวิชชา ลาภพงศธร ไปฝึกอบรมเป็น perfutionist คุณอับดุลฮาซิด หะนิมุสา ไปฝึกอบรมด้านตรวจ lab. ต่าง ๆ ที่ใช้ในการผ่าตัดหัวใจเช่นการตรวจ arterial blood gas การต่อ tranducer ที่ใช้วัดค่าความดันต่าง ๆ จากหัวใจโดยตรง


จนประมาณปี ๒๕๒๘ มีความพร้อมที่จะทำผ่าตัดหัวใจแบบ open heart ใช้เครื่องหัวใจและปอดเทียมแต่เกิดปรากฏการณ์เสือ ๒ ตัวอยู่ในถ้ำเดียวกัน เสือตัวแรกคืออาจารย์เสริฐ ซึ่งเป็น CVT ที่ผ่าน qualified CVT training จาก Medical College of Virginia เพียงแต่อาจารย์มีเหตุให้ต้องกลับมารับใช้แผ่นดินเกิดก่อนจึงไม่อยู่รอสอบบอร์ด เสือตัวที่ ๒ คืออาจารย์ธาดา ยิบอินซอย cardiologist ที่เก่งกาจ ทั้ง ๒ ท่านมีเป้าหมายเดียวกันคือเสียสละทุกอย่างเพื่อผู้ป่วย แต่ทั้ง ๒ ท่านมีแนวคิดเรื่องการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจด้วยการผ่าตัดต่างกันอาจารย์เสริฐมองว่าท่านผ่านการ training มาอย่างดี ฝีมือดีเป็นที่ยอมรับของครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูงในแวดวง CVT ของสหรัฐอเมริกา ท่านเตรียมทีมของท่านพร้อมที่จะทำการผ่าตัดผู้ป่วยได้แล้ว แต่อาจารย์ธาดามองอีกมุมว่าอาจารย์เสริฐยังคงผ่าตัด general surgery เยอะมาก ไม่น่าจะมีเวลาทุ่มเทให้กับการผ่าตัดหัวใจ อยากให้อาจารย์เสริฐเลิกผ่าตัด general surgery หันมาทำ cardiac surgery เพียงอย่างเดียวเหมือน CVT ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจารย์เสริฐเห็นแย้งว่าอาจารย์ผ่านการ training ได้ทั้งวุฒิบัตรฯสาขาศัลยศาสตร์ และ American Board of Surgery เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่จะทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วย general surgery ได้ ประกอบกับตอนนั้นบรรดาอาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์คนอื่นที่อาวุโสสูงสุดประสบการณ์มากที่สุดก็ยังห่างชั้นกับอาจารย์เสริฐมาก มีอะไรก็ต้องปรึกษาหรือขอให้อาจารย์เสริฐช่วยตลอด อาจารย์เสริฐจึงทำการสอนนักเรียนแพทย์ ทำผ่าตัดรักษาผู้ป่วยทั้งด้าน general surgery และ CVTผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่ในความดูแลของอาจารย์ธาดาทั้งสิ้น อาจารย์ธาดาจึงไม่ส่งผู้ป่วยมาให้อาจารย์เสริฐผ่าตัด open heart ด้วยความที่อาจารย์เสริฐเคารพในความอาวุโสของอาจารย์ธาดาประกอบกับมีผู้ป่วย general surgery ที่ต้องดูแลผ่าตัดอีกมาก ท่านจึงไม่ต่อสู้ต่อ รอเวลาที่จะสร้างทีม CVT ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม


ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมเข้าไปในวงจรชีวิตของอาจารย์เสริฐจนอาจารย์ตัดสินใจว่าจะส่งผมไปเรียนต่อที่ศิริราชเพื่อกลับมาเป็น CVT คนที่ ๒ แต่ตอนที่ผมเป็น extern มีคนมาขอรับทุนไปเรียน CVT คือพี่ทินกร จงวรนนท์ ซึ่งเป็นศัลยแพทย์อาวุโสมาจาก รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ พี่ทินกรจบศิริราชรุ่น ๗๕ แล้วไปเรียนต่อ general surgery ที่สหรัฐอเมริกาแต่ไม่ได้สอบบอร์ด พอผมจบเป็นแพทย์ใช้ทุนศัลย์ ม.อ.ปี ๑ พี่ทินกรก็ไปเรียนต่อที่ศิริราชโดยต่อยอดเป็นแพทย์ประจำบ้านปี ๒ เลย โดยขอยกเว้นการเป็นปี ๑ จาก certificate ที่ได้รับมาจากสหรัฐอเมริกา ปีถัดไปคือปี ๒๕๓๐ ผมไปเป็นแพทย์ประจำบ้าน CVT ปี ๑ ที่ศิริราช พี่ทินกรเป็นแพทย์ประจำบ้านปี ๓ ปี ๒๕๓๑ พี่ทินกรมีปัญหาสอบบอร์ดไม่ผ่านจึงกลับมาทำงานที่ ม.อ.ช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วก็ลาออกไป อาจารย์เสริฐก็ยังคงเป็น CVT คนเดียวของ ม.อ.ต่อไป ไม่สามารถสร้างทีม CVT ตามที่อาจารย์ตั้งใจ ต้องรอผมเรียนจบอีก ๒ ปี


ปี ๒๕๓๓ ผม train จบแต่สอบบอร์ดตก เพราะดันไปเถียงกรรมการท่านหนึ่งตอนสอบปากเปล่าเพราะมั่นใจในสิ่งที่อ่านมาจาก Gibbon’s Surgery of the Chest version ล่าสุด ผลคือโดนอัดเละจนเสียศูนย์ทำให้ตอบกรรมการอีกท่านไม่ได้โดนพาเข้าป่า ผมกลับไปเป็นอาจารย์ที่ ม.อ.โดยไม่มีบอร์ดเลยไม่ได้ปรับ ซี ไม่ได้เงินพิเศษสำหรับอาจารย์คณะแพทย์ ผมไปช่วยอาจารย์เสริฐที่คลินิกตอนนั้นอาจารย์ย้ายจากถนนธรรมนูญวิถีข้างโรงแรมอินทราไปอยู่ที่ถนนศุภสารรังสรรค์ มีหมอ ๒ คนคืออาจารย์เสริฐกับอาจารย์สมชาย สุนทรโลหะนะกุล หมอ chest เด็ก ผมก็ไปเป็นตัวเสริมเวลาอาจารย์เสริฐออกไปข้างนอก พอปิดร้านก็ไปช่วยทำผ่าตัดที่ รพ.เซี่ยงตึ๊ง อาจารย์เสริฐและอาจารย์มยุรีก็เมตตาให้เงินผมใช้ทุกเดือน ส่วนงานที่ภาควิชาศัลย์ผมก็ทำทั้งสอนและบริการตามปกติ


จนปี ๒๕๓๔ ก็กลับไปสอบใหม่ผ่านไปด้วยดีได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ทรวงอกช่วงนี้อาจารย์เสริฐเริ่มคิดจะรื้อฟื้นการทำผ่าตัด open heart อีกครั้งแต่ไม่สำเร็จทั้ง ๆ ที่ว่าไปแล้วตอนนั้นมีความพร้อมสุด ๆ มี CVT ๒ คน มี perfusionist มีเครื่องหัวใจและปอดเทียม ปัจจัยหนึ่งเป็นจากผม เพราะผมไม่ใช่นักเรียนแพทย์ระดับหัวกะทิเป็นพวกสอบตกไปจบพร้อมกันรุ่นน้องอีก ๒ รุ่น อาจารย์ทั้ง cardiologist และ pediatric cardiologist เลยไม่มั่นใจในตัวผมว่าจะทำหน้าที่หมอผ่าตัดหัวใจได้จริงการรักษาโรคหัวใจด้วยการผ่าตัดเป็นสิ่งที่ต้องการความเป็นทีม เมื่อไม่มีความไว้วางใจกันของทีมมันจึงไม่สามารถทำได้ ช่วงนั้น CVT จบใหม่อย่างผมรู้สึกผิดหวังมากเพราะความฝันที่จะมาช่วยกันกับอาจารย์เสริฐทำผ่าตัดหัวใจมันไม่เป็นจริง แต่ด้วยความที่ทุกท่านล้วนเป็นอาจารย์ที่ผมเคารพทั้งนั้นผมก็ต้องก้มหน้ายอมรับสภาพ ทำผ่าตัด closed heart ต่อไป โชคดีที่อดีตอาจารย์ที่ปรึกษาผมตอนเป็นนักเรียนแพทย์คืออาจารย์อัจนา วิมุกตะลพ เป็น chest med. ไว้ใจผมส่งผู้ป่วยมาให้ผมผ่าตัดปอด และมีผู้ป่วย abdominal aortic aneurysm ถูกส่งมาจากทั่วภาคใต้ เลยมีงานบริการให้ทำเยอะ ส่วนการเรียนการสอนเนื่องจากศัลยศาสตร์ทรวงอกเป็นสาขาย่อยก็สอนแค่พื้นฐาน


จนกระทั่งปี ๒๕๓๖ ก็เกิดเหตุการณ์ตามที่อาจารย์เสริฐเล่าไว้คือมีการฝากฝัง CVT คนหนึ่งมาจากทางขอนแก่นให้มาเป็นอาจารย์ที่ ม.อ. คือ นพ.สุเทพ พิทักษิณาเจนกิจ ซึ่ง train CVT ที่ศิริราชก่อนผม ๔ รุ่น คุณหมอสุเทพเป็นหมอ รพ.ขอนแก่น แต่ไปช่วยผ่าตัดหัวใจที่ รพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น การขอย้ายมาของคุณหมอสุเทพทางหน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอกหัวใจและหลอดเลือดที่มีอาจารย์เสริฐเป็นหัวหน้าหน่วยไม่ทราบเรื่องมาก่อนเป็นการฝากฝังมาทางอาจารย์ธาดา แล้วอาจารย์ธาดาฝากต่อไปยังคณบดีคณะแพทย์ในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ทางอาจารย์เสริฐมิอาจจะปฏิเสธ คุณหมอสุเทพพาครอบครัวลงมาดูสถานที่ที่ ม.อ.ครั้งหนึ่งโดยผมต้องทำหน้าที่รับรอง คุณหมอสุเทพมีอะไรก็จะติดต่อมาทางอาจารย์ธาดาโดยตรงไม่เคยติดต่อมาที่ภาควิชาศัลย์ วันหนึ่ง นพ.วรวุฒิ จินตภากร cardiologist ซึ่งเป็นรุ่นพี่ผม ๑ รุ่นไปพบผมที่ห้องทำงานเพื่อให้ผมช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องที่พักให้คุณหมอสุเทพ อาจารย์เสริฐมาเห็นเราคุยกันพอดีอาจารย์โกรธมากหาว่าทำอะไรข้ามหัวอาจารย์ คืนนั้นอาจารย์เสริฐโทรศัพท์ไปด่าผมชุดใหญ่หาว่าผมมีส่วนรู้เห็นในการที่รับย้ายคุณหมอสุเทพมาอยู่ที่ ม.อ. อาจารย์ว่าผมไม่เห็นอาจารย์อยู่ในสายตาทั้ง ๆ ที่อาจารย์ช่วยเหลือผมมีบุญคุณกับผมมาตลอด ชี้แจงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่ฟังผมก็เลยขึ้นเสียงกลับไปแล้วก็ไปขอให้ นพ.ชูศักดิ์ ปริพัฒนานนท์ อาจารย์แผนก urology ที่เป็นคนใกล้ชิดอาจารย์เสริฐอีกคนเป็นคนกลาง วันรุ่งขึ้นอาจารย์เสริฐใจเย็นลงผมก็ไปกราบขอโทษอาจารย์แล้วก็คุยกันถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เราต้องมาทะเลาะกัน หลังจากนั้นไม่นานคุณหมอสุเทพก็ย้ายมาปฏิบัติงานที่ภาควิชาศัลยศาสตร์ ม.อ.


คุณหมอสุเทพมาทำงานที่ ม.อ.ได้ไม่นาน ผมก็ก่อเหตุให้อาจารย์เสริฐต้องลำบากใจ เพราะบรรยากาศของห้องผ่าตัดหมายเลข ๑๐ หรือ OR10 ที่เป็นห้องประจำของหน่วย CVT เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากคุณหมอสุเทพมีนิสัยต่างจากอาจารย์เสริฐและผม เวลาทำผ่าตัดบรรยากาศในห้อง ๑๐ จึงเครียด พี่ ๆ น้อง ๆพยาบาลส่งเครื่องมือหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวันไม่ยิ้มหัวเหมือนก่อน ผมจึงขออาจารย์เสริฐว่าผมขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับการผ่าตัด open heart เพราะผมทำผ่าตัดสไตล์คุณหมอสุเทพไม่ได้ ผมยินดีรับผิดชอบทำผ่าตัด closed heart, vascular และ non-cardiac ทั่งหมดให้เอง ส่วนการสอนก็แบ่งกันไปตามแนวทางนี้เช่นกัน อาจารย์เสริฐไม่ยอมบอกว่าในหน่วย CVT ผมมีอาวุโสเป็นอันดับ ๒ ผมต้องช่วยอาจารย์สุดท้ายก็ต่อรองว่าตามใจผมแต่ให้ลองดูสถานการณ์ ๖ เดือนก่อน


จนกระทั่งต้นปี ๒๕๓๗ คืนวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๓๗ อาจารย์เสริฐโทรศัพท์คุยกับผมว่าวันพรุ่งนี้อาจารย์มีเคส open mitral valvulotomy แต่อาจารย์ต้องคุม conference แพทย์ใช้ทุนก่อน ให้ผมไปเตรียมผู้ป่วยและทำผ่าตัดไปพลาง ๆ แล้วอาจารย์จะตามไปเมื่อเสร็จ conference ประมาณ ๙ โมงครึ่ง ผมก็ถามว่าไม่ให้คุณหมอสุเทพช่วยหรือครับ อาจารย์บอกว่าเคสนี้กูจะให้มึงนั่นแหละช่วยกู

เช้าวันที่ ๒๖ มกราคม ผมก็เข้าห้องผ่าตัดผู้ป่วยเป็นหญิงอายุ ๓๙ ปี วินิจฉัยว่าเป็น Mitral stenosis จะทำผ่าตัด open mitral valvulotomy + mitral valve replacement หมายความว่าจะลองซ่อมลิ้นหัวใจก่อนหากไม่ได้ผลก็จะเปลี่ยนไปใช้ลิ้นหัวใจเทียมแทน วิสัญญีแพทย์ที่จะดมยาสลบคือ นพ.สุรชาติ พจนสุภาวรรณ์ กำลังเตรียมผู้ป่วย ระหว่างนั้นคุณหมอสุเทพก็เดินเข้ามาให้ห้อง OR10 คุณหมอสุรชาติดมยาสลบเสร็จแล้วเตรียมตัวจะแทงน้ำเกลือที่หลอดเลือดดำใหญ่ที่คอ คุณหมอสุเทพบอกว่าไม่ให้แทงที่คอให้แทงเส้นเลือดดำที่ขาคุณหมอสุรชาติหันมาถามผมว่าตกลงจะเอายังไง เป็นผู้ป่วยของใครกันแน่ ผมก็ตอบไปว่าเป็นผู้ป่วยของอาจารย์เสริฐ ผมได้รับคำสั่งให้มาเริ่มผ่าตัดก็ต้องแทงเส้นเลือดดำที่คอตามที่ผมต้องการ แต่คุณหมอสุเทพอ้างว่าเป็นผู้ป่วยของแก ผมเลยถามแพทย์ใช้ทุนคือคุณหมอเจริญเกียรติ ฤกษ์เกลี้ยงว่า set ผ่าตัดเป็นชื่อใคร คุณหมอเจริญเกียรติตอบว่าชื่ออาจารย์เสริฐ และไปหยิบใบ set ผ่าตัดที่ติดที่ผนังห้องมายืนยัน ผมจึงโทรศัพท์ไปบอกอาจารย์เสริฐที่ภาควิชาศัลย์ว่าคุณหมอสุเทพอ้างว่าเป็นผู้ป่วยในความรับผิดชอบของแกผมจะปล่อยให้แกทำไป อาจารย์เสริฐบอกว่าเป็นผู้ป่วยอาจารย์ให้ผมจัดการทำผ่าตัดได้เลยไม่ต้องสนใจใครผมจึงบอกคุณหมอสุรชาติว่าจัดการต่ออาจารย์เสริฐให้ผมทำผ่าตัดผู้ป่วยรายนี้ คุณหมอสุเทพก็โวยวายว่าเป็นผู้ป่วยแก และสั่งให้คุณหมอสุรชาติหยุดดมยาสลบ คุณหมอสุรชาติก็ถามแบบงง ๆ ว่าทำได้ยังไง ผู้ป่วยดมยาสลบไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะทำผ่าตัดแล้ว คุณหมอสุเทพก็บอกว่าต้องหยุดทุกอย่าง ไม่มีการผ่าตัดแล้วเพราะมีปัญหา ผมเลยตะโกนด่าคุณหมอสุเทพพร้อมกับไล่ให้ออกไปจากห้อง OR10 อย่ามายุ่งเกี่ยวกับการผ่าตัดครั้งนี้


ผมเล่าถึงตอนที่ผมไล่คุณหมอสุเทพออกจากห้องผ่าตัด ต้องบอกว่าช่วงนั้นอารมณ์โกรธเข้าครอบงำจิตใจผม ผมคิดว่าผมคงจะขับไล่พร้อมกับด่าด้วยคำหยาบ แต่สิ่งที่เจอคือคุณหมอสุเทพไม่สนใจผมเลย กลับหันไปสั่งทีมวิสัญญีของคุณหมอสุรชาติให้เลิกดมยาสลบและยกเลิกการผ่าตัดผู้ป่วยรายนี้ ด้วยความใจร้อนขี้โมโหของผม ผมตัดสินใจในเสี้ยววินาทีว่าผมคงจะไล่คุณหมอสุเทพออกจากห้องผ่าตัดด้วยวิธีธรรมดาคงไม่สำเร็จ ในขณะนั้นผมยืนด้านซ้ายของผู้ป่วยที่ดมยาสลบแล้ว คุณหมอสุเทพยืนด้านขวาของผู้ป่วยมีเตียงผ่าตัดและร่างของผู้ป่วยคั่นระหว่างเรา ๒ คน ด้านหลังของผมคือชั้นวางวัสดุอุปกรณ์ของห้องผ่าตัด ผมหันหลังกลับไปคว้ามีดผ่าแตงยาวประมาณ ๑ ฟุตมาชี้หน้าคุณหมอสุเทพแล้วไล่ให้ออกไปให้พ้นชีวิตผมทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาห้ามทัพ คุณหมออภิชาต วชิรพันธุ์ ซึ่งเป็นแพทย์ใช้ทุนศัลย์ปี ๓ (ปัจจุบันเป็นรองอธิบดีกรมควบคุมโรค) เขามาล๊อกคอผมจากด้านหลัง คุณหมอเจริญเกียรติ ฤกษ์เกลี้ยง แพทย์ใช้ทุนศัลย์ปี ๒ (เพิ่งลาออกจากราชการ ตำแหน่งสุดท้ายคือหัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอกหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาศัลย์ ม.อ.) เข้ามาปลดมีดไปจากมือผม ส่วนคู่กรณีผมนั้นโดนคุณหมอสนธยา กาญจนธนาเลิศ แพทย์ใช้ทุนศัลย์ปี ๒ (ปัจจุบันเป็นศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลเอกชนข้างวัดธาตุทอง) เข้าไปดันหน้าอกให้ถอยห่างออกไป แต่อารามตกใจกลัวคุณหมอสุเทพแกสะดุดขาตนเองเสียหลักล้มลงไปกับพื้น วินาทีนั้นภาพที่ผมจำได้ติดตาคือแกร้องไห้โฮแบบเด็ก ๆ แล้วคลานสี่ขาออกไปทางประตูหลังห้อง OR10 ภาพถัดมาคืออาจารย์มยุรี วศินานุกร หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยาซึ่งเป็นภรรยาอาจารย์เสริฐเดินเข้ากอดผมไว้กับอกแล้วปลอบให้ผมใจเย็นลง หลายคนเข้ามาพูดปลอบผมจนผมสงบจิตใจได้ก็ไปเปลี่ยนชุดออกจากห้องผ่าตัด ผมเข้าใจว่ามีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นและเห็นกับตาประมาณ ๑๐ คนทั้งแพทย์ใช้ทุน ทีมวิสัญญี ทีมพยาบาลห้องผ่าตัด


ผมออกไปนั่งกินข้าวเที่ยงกับพรรคพวกคนปัตตานีในหาดใหญ่เหมือนปกติ โดยที่ไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยสิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นภายใต้อารมณ์ที่ยังขุ่นมัวคือ ผมบอกตัวเองว่าจากภาพที่เห็นคุณหมอสุเทพร้องไห้โฮคลานสี่ขานี่มันทำให้ความโหดเหี้ยมหายไปจากจิตใจ เราไม่สามารถทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้และหนีเอาตัวรอดสุดชีวิต หลายคนสงสัยว่าไอ้เจ้ามีดผ่าแตงมันเกี่ยวข้องอะไรกับการผ่าตัด และมันไปอยู่ในห้อง OR10 ได้อย่างไรกัน เนื่องจาก OR10 เป็นห้องประจำของหน่วยศัลยศาสตร์ทั่วไปสาย ๑ ที่มีอาจารย์เสริฐเป็นหัวหน้าสาย ลูกทีมมีพี่สมชาย จันทร์สว่าง พี่ชิงเยี่ยม ปัญจปิยะกุล และเป็นห้องประจำของสาย CVT ที่มีผมกับอาจารย์เสริฐ เรามักจะทำผ่าตัดก้อนเนื้องงอกใหญ่ ๆ ในตับ ในปอด เวลาเราตัดเอาก้อนออกมาสิ่งที่หมอผ่าตัดจะต้องทำคือผ่าดูลักษณะเนื้อในของก้อน ก้อนใหญ่จะใช้มีดผ่าตัดที่มีขนาดเล็กผ่าดูย่อมไม่สะดวก พี่ชิงเยี่ยมซึ่งเป็นศิษย์รักของอาจารย์เสริฐจึงให้พยาบาลห้องผ่าตัดไปซื้อมีดผ่าแตงมาไว้ผ่าดูก้อนเนื้องอก มันเลยสิงสถิตอยู่ในห้อง OR10 มาตลอด


ช่วงที่เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายเพราะอารมณ์ร้อนชั่ววูบของผม ภาระหนักตกกับทีมวิสัญญีที่ต้องดูแลผู้ป่วยต่อ เนื่องจากเดิมกำหนดว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า ๒ ชั่วโมง จึงให้ยาแบบสลบลึกสลบนาน ส่วนผมก็ตามที่เล่าตอนที่แล้วใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติ แต่คู่กรณีผมไม่ทราบว่าหลังจากคลานออกจากห้องผ่าตัดไม่มีใครเห็นร่องรอย จนกระทั่งหลังเลิกงานประมาณ ๕ โมงเย็นผมอาบน้ำเตรียมตัวจะออกไปคลินิกก็มีคนมาเคาะประตูห้อง เปิดไปเจอนายตำรวจยศ ร.ต.ท.กับเจ้าหน้าที่ รปภ.คณะแพทย์ยืนหน้าห้อง ผู้หมวดหนุ่มถามว่าคุณหมอปานเทพใช่มั๊ยครับ ขอเชิญไปสถานีตำรวจภูธรสามชัยเพราะมีคนไปแจ้งความกล่าวหาผม ผมบอกว่าขอแต่งตัวแล้วขับรถตามไป ผู้หมวดบอกว่าไม่ได้ผมต้องนั่งรถไปด้วยกันระหว่างที่นั่งรถไปด้วยกันผู้หมวดก็ถามผมว่าพี่เป็นคนปัตตานีใช่มั๊ย จบสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หรือเปล่า ผมบอกว่าใช่ ผู้หมวดก็บอกว่าผมเป็นเด็กโคกโพธิ์เป็นรุ่นน้องสาธิตฯพี่ พี่ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เล่าให้ฟังแกก็บอกว่านี่ถ้าพี่ชกเขาผมก็แค่ปรับพี่ ๕๐๐ บาทข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่พี่หยิบมีดเขาเลยมาแจ้งความข้อหาพยายามฆ่า แต่ตอนนี้ผมยังไม่ลงบันทึกประจำวันให้คู่กรณีไปตกลงกันก่อน


เมื่อไปถึงโรงพักสามชัยผู้หมวดก็ให้ผมเข้าไปในห้องร้อยเวร ผมเหลือบไปเห็นคุณหมอสุเทพนั่งอยู่คนเดียวในห้องข้าง ๆ ผมโทรศัพท์หาอาจารย์เสริฐแจ้งว่าผมโดนจับ แป๊บเดียวอาจารย์เสริฐก็มาถึง มีการเจรจากับคุณหมอสุเทพ อาจารย์เสริฐบอกว่าผมขอให้เป็นเรื่องที่จะตกลงกันภายในหน่วยภายในภาควิชาไม่ต้องถึงกับแจ้งความ พูดเท่าไหร่คุณหมอสุเทพก็ไม่ยอม อาจารย์เสริฐเลยตบโต๊ะบอกว่ากูขอแค่นี้ไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว กูจะช่วยไอ้ปานเทพ แล้วอาจารย์เสริฐก็โทรศัพท์ให้อาจารย์มยุรีเตรียมมาประกันตัวผมหลังจากนั้นร้อยเวรก็ลงบันทึกประจำวันแจ้งข้อหาพยายามฆ่า ผมอ่านข้อกล่าวหาแล้วก็แจ้งว่าผมปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอให้การในชั้นศาลพร้อมกับลงชื่อรับทราบข้อกล่าวหา ตอนนี้ผมตกเปลี่ยนสภาพจากหมอเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาร้ายแรงไปแล้ว ถ้าศาลตัดสินว่ามีความผิดก็ติดคุก ถูกออกจากราชการ ร้อยเวรก็โดนตามไปเรื่องอื่น ๆ แกก็ให้ผมนั่งรอในห้องร้อยเวรพร้อมกับสั่งนายดาบเสมียนบันทึกประจำวันว่าหมอเป็นผู้ต้องหานะ เป็นการสั่งให้รู้ว่าระวังผมหนี ช่วงนี้เริ่มมีพี่ ๆ น้อง ๆชาว ม.อ.แห่กันมาที่สถานีตำรวจสามชัยเยอะมาก ผมก็คิดว่าคงจะมาให้กำลังใจผม แต่ก็คงมีไม่น้อยที่มาดูว่าผมจะประสบชะตากรรมอย่างไร จนปาเข้าไปเกือบ ๑ ทุ่มผมยังนั่งอยู่ในห้องร้อยเวรแต่ร้อยเวรยังวุ่นกับการออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุต่าง ๆ ที่รับแจ้งไม่มีเวลามาดำเนินการเรื่องประกันตัวผม ที่ทำท่าจะไม่ดีต่อผมคือสถานีตำรวจสามชัยเป็นสถานีย่อยการอนุมัติให้ประกันตัวต้องให้สารวัตรที่ทำหน้าที่หัวหน้าสถานี หรือสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่เป็นคนอนุมัติเท่านั้นแล้วนี่มันนอกเวลาราชการ คงไม่แคล้วว่าผมต้องนอนมุ้งสายบัว ๑ คืนแน่นอน


ผมได้รับรู้ถึงความรู้สึกของข้าวผัดโอเลี้ยงที่เราชอบแซวกัน เพราะมีคนนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย พี่แอ๋ว จงกลณี แซ่จัง วิสัญญีพยาบาลซึ่งเป็นรุ่นพี่ ม.อ.ผม ๒ รุ่น ซื้อข้าวผัดกับโค๊กใส่น้ำแข็งมาให้ผม ตอนนั้นผมกินข้าวไม่ลงได้แต่ซดโค๊ก ระหว่างนี้คนที่วุ่นวายมากอีกคนคืออาจารย์เสริฐที่ต้องโทรศัพท์ติดต่อนายตำรวจทุกระดับตั้งแต่สารวัตรไปจนถึงผู้บัญชาการเพื่อเร่งขอประกันตัวผม จน ๕ ทุ่มกว่าร้อยเวรจึงมานั่งพิมพ์สำนวนแจ้งความและคำให้การของผมซึ่งขอให้การในชั้นศาลแล้วให้ผมลงชื่อ พร้อมกับสั่งว่าผมให้พี่กลับไปโดยที่เอกสารยังไม่เรียบร้อยแต่เชื่อว่าคนอย่างพี่ไม่ทำให้ผมเดือดร้อนแน่ พรุ่งนี้ในเวลาราชการให้พี่มาพบผมพร้อมผู้ที่จะประกันตัวพี่ ชื่อผมนามสกุลผมยังพอจะขายได้ในหมู่คนปัตตานีโดยเฉพาะพี่น้องศิษย์เก่าโรงเรียนสาธิต รูสะมิแล ช่วงนั้นพี่หนุ่ย นพ.สนทิศ สุทธิจำรูญ รุ่นพี่หมอ ม.อ.รุ่น ๒ คู่ซี้ของผมซึ่งย้ายไปเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาสูติ-นรีเวชฯ ศิริราชกลับมาทำธุระที่หาดใหญ่พอดี พี่หนุ่ยกับพี่หมิ่น เอกพันธุ์ เชาวน์วานิช นักธุรกิจเพื่อนพี่หนุ่ยเลยรับผมไปกินข้าวต้มแล้วไปส่งที่แฟลตวันรุ่งขึ้นผมก็ไปทำงานตามปกติ แต่ช่วงบ่ายต้องไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจสามชัย ส่วนคู่กรณีผมนั้นทราบว่าได้เข้าพบคณบดีคณะแพทย์แล้วแจ้งความประสงค์ที่จะขอย้ายกลับขอนแก่นด้วยเหตุผลเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยเพราะอาจารย์เสริฐและผมเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่มาก


หลายวันต่อมาอาจารย์เสริฐในฐานะหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ ได้ออกคำสั่งภาควิชาศัลย์ที่ ม.อ.๓๖๘/พิเศษ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ ให้ผมและคุณหมอสุเทพหยุดปฏิบัติงานทุกอย่างทั้งการเรียนการสอนและการบริการ ผมได้ไปพบร้อยเวรเจ้าของคดีขอเปลี่ยนจากให้การในชั้นศาลเป็นให้ปากคำกับเจ้าพนักงานสอบสวนเลย มีการอ้างถึงพยานที่เห็นเหตุการณ์หลายคน ร้อยเวรจึงมีการสอบปากคำผมเพิ่มเติม มีการเรียกพยานมาสอบปากคำและไปดูสถานที่เกิดเหตุ ผมแทบจะเดินเข้าโรงพักเป็นว่าเล่น เพราะพอพยานให้ปากคำแล้วร้อยเวรมักจะขอสอบปากคำเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจนหลังจากเกิดเหตุการณ์ประมาณ ๒ สัปดาห์ผมก็ถูกคณบดีเรียกพบ ประโยคแรกที่หลุดจากปากท่านคณบดีคือ...หมอต้องออกไปจากคณะแพทย์...ผมถึงกับอึ้ง ท่านบอกว่าผมทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อนักเรียนแพทย์ ณ วินาทีนั้นผมรู้สึกโกรธ รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมเถียงโดยที่ไม่สนใจว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผมเป็นใคร ผมบอกว่าสิ่งที่ผมทำลงไปเป็นอย่างไรอาจารย์รู้ละเอียดหรือไม่ถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แล้วยัง หรือว่าแค่ฟังจากปากคำคู่กรณีผมเท่านั้น สิ่งที่ผมทำลงไปเป็นการถูกต้องแล้วที่ต้องขับไล่ผู้ที่เข้ามาก่อกวนขัดขวางการทำผ่าตัดผู้ป่วยที่ดมยาสลบแล้วทั้ง ๆ ที่ไม่มีหน้าที่ไม่ใช่ผู้ป่วยในความรับผิดชอบ ถ้าจะไล่ผมออกไปจากคณะแพทย์เพราะคิดว่าผมมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำไมไม่ไล่คนอื่น ๆ ที่เอาเวลาราชการไปเล่นหุ้น เปิดคลินิกเกินเวลาราชการ หรือทำผ่าตัดแล้วด่าพยาบาลด่านักเรียนแพทย์เป็นหมูเป็นหมา ซัดปาเครื่องมือแพทย์ที่เป็นของหลวงทิ้ง เหมือนกับผมราดน้ำมันลงบนกองไฟ ท่านคณบดีบอกว่าหมอไม่ต้องเถียง หมอมี ๒ ทางเลือกเท่านั้นคือ ๑.ออกไปจากคณะแพทย์ ถ้าหมอจะย้ายไปที่ไหนเรายินดีมอบให้หน่วยงานนั้นคุมทุนแทน ไม่ต้องชดใช้เงินให้คณะแพทย์ ๒.ถ้าไม่ออก จะเสนอมหาวิทยาลัยให้ดำเนินการทางวินัยข้าราชการ คนอย่างผมยอมหักไม่ยอมงอ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ผมตอบไปโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองแม้แต่น้อยว่าผมไม่ไปไหน จะตั้งกรรมการสอบสวนก็ตั้ง ให้มันรู้ไปว่าผมจะถูกไล่ออกจากราชการจากการกระทำเพื่อให้ได้ทำผ่าตัด


ก่อนจะเล่าต่อว่าเกิดอะไรขึ้น ขอย้อนกลับไปก่อนว่าทำไมคุณหมอสุเทพถึงได้ประกาศว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้ป่วยในความรับผิดชอบของเขาหลังจากที่ผมประกาศขออัปเปหิตนเองออกจากการทำผ่าตัดหัวใจแบบ open heart ก็เป็นข้อตกลงระหว่างอาจารย์เสริฐกับคุณหมอสุเทพว่าจะผลัดกันเป็นหมอผ่าตัดเจ้าของเคส สลับกันไปเรื่อย ๆ คราวนี้ผู้ป่วยรายที่เป็นปัญหานี้เป็นเคสที่เคยเลื่อนผ่าตัดมาก่อน เดิมถูกกำหนดไว้ว่าจะทำผ่าตัดวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๓๗ โดยอาจารย์เสริฐเป็นผู้ผ่าตัด แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นจึงมีการเลื่อนผ่าตัดจากวันที่ ๑๙ ไป ๑ สัปดาห์เป็นวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๓๗ คุณหมอสุเทพอาจจะสับสนโดยนับวันผ่าตัดไม่ได้ดูรายละเอียดว่าผู้ป่วยเป็นใคร ซึ่งก็แปลกอีกแหละถ้าเป็นหมอผ่าตัดแล้วไม่ได้ดูผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด ไม่ได้สั่งเตรียมผ่าตัดด้วยตนเอง อันนี้ก็ได้แต่คาดเดาแบบพยายามหาเหตุผลมาอธิบายนะครับ จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรทำให้คุณหมอสุเทพถึงประกาศว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้ป่วยของแก


หลังจากอาจารย์เสริฐในฐานะหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ได้ออกคำสั่งพักงานของผมและคุณหมอสุเทพเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ อาจารย์เสริฐมีเหตุให้ต้องไปประชุมออกข้อสอบบอร์ดศัลย์ที่พัทยา อาจารย์เสริฐจึงทำหนังสือถึงคณบดีขอให้ผมเป็นผู้ปฏิบัติงานแทนอาจารย์และรักษาการหัวหน้าหน่วย CVT ในช่วงวันที่ ๑๙-๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ แต่คณบดีไม่อนุมัติเพราะอยู่ในช่วงที่ภาควิชามีคำสั่งไม่ให้ปฏิบัติงาน และหากมีผู้ป่วย CVT ก็ให้ปรึกษาศัลยแพทย์ทั่วไปได้ทุกคน หากมีปัญหาให้ปรึกษารักษาการหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ จนกระทั่งอาจารย์เสริฐในฐานะหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์มีคำสั่งที่ ม.อ.๓๖๘/๑๓๔ ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๗ ให้ผมและคุณหมอสุเทพกลับมาปฏิบัติงานตามปกติเพราะเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้วแต่ภาวะปกตินั้นไม่ปกติสำหรับผม เพราะผมยังคงต้องวนเวียนไปสถานีตำรวจสามชัยและหาดใหญ่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์โดยอธิการบดีได้มีคำสั่งที่ ๖๗๐/๒๕๓๗ ลงวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๗ เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ๗ คน มีรองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาเป็นประธาน ให้สอบสวนผมและคุณหมอสุเทพ โดยข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันในห้องผ่าตัดโรงพยาบาลสงขลานครินทร์เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๓๗ หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน ผมไม่เคยถูกเรียกไปสอบสวน แต่บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนถูกเรียกไปสอบปากคำในฐานะพยาน เป็นกระบวนการสอบสวนที่แปลกดีเพราะยังไม่สอบสวนผู้ถูกกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้เป็นผู้อ้างพยานบุคคล แต่กรรมการกลับไปสอบสวนบุคคลต่าง ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้างเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์จริงหรือไม่


ผมเล่าข้ามไปนิด หลังจากที่อาจารย์เสริฐออกคำสั่งให้ผมกับคุณหมอสุเทพกลับไปปฏิบัติงานตามปกติเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๗ ผมก็ได้ชิงทำหนังสือถึงหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ขอให้ทำการสอบสวนความผิดลงโทษวินัยคุณหมอสุเทพ เพราะตอนนั้นผมรู้ตัวแล้วว่าผมโดนคณะแพทย์เล่นหนักแน่ หากผมไม่ดำเนินการปกป้องตนเองเป็นไปได้สูงว่าผมจะถูกตั้งกรรมการสอบเอาผิดทางวินัยฝ่ายเดียว จนในที่สุดก็มีคำสั่งมหาวิทยาลัยให้สอบสวนผมและคุณหมอสุเทพทั้ง ๒ คนตามที่เล่าไปแล้ว

แพทยสภามีหนังสือด่วนที่สุดที่ พส.๐๑๑/๘๕๔ ลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๓๗ ว่าสำนักงานเลขาธิการแพทยสภาได้รับเรื่องร้องเรียนว่าผมปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานโดยไม่เหมาะสมไม่ยกย่องให้เกียรติเคารพศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน อนุกรรมการจริยธรรมชุดที่ ๑ จึงขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริง ผมก็ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงและอ้างพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๓๗ หลังจากมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดทางวินัย ๑ เดือน คณะกรรมการจึงเรียกผมไปรับทราบข้อกล่าวหาว่าได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับคุณหมอสุเทพในห้องผ่าตัดอันเป็นการกระทำผิดวินัยฐานไม่รักษาความสามัคคีในระหว่างข้าราชการตามมาตรา ๙๓ แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๓๕ ซึ่งผมได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเพราะผมถือว่าผมไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทช่วงนี้ผมเจอทะแนะทนาย ผู้หวังดีเข้ามาในชีวิตเยอะมาก จนแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย หรือผู้หวังดีจริง ๆ มีคนบอกผมว่าให้ระวังตัวเพราะดูจากรายชื่อกรรมการสอบวินัยแล้วผมเจอหนักแน่ และอาจจะมีใบสั่งไปทางแพทยสภาและพนักงานสอบสวนด้วย เพราะคณบดีเป็นกรรมการแพทยสภาโดยตำแหน่ง ถ้าคิดว่ามีใครที่จะไปขอความช่วยเหลือได้ให้ผมไปเล่ารายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้รับทราบข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้นผมไม่เคยรู้จักนายตำรวจหรือข้าราชการผู้ใหญ่เป็นการส่วนตัว ผมก็เลยไม่รู้จะไปเล่าเรื่องของผมให้ใครฟัง


จนวันหนึ่งอาสมชีพ เลขะกุล ญาติผมบอกว่าไม่รู้จักก็ไม่เป็นไรเราไปขอพบดื้อ ๆ เลย คนที่ควรไปพบคือผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ว่าแล้วก็ชวนผมกับพ่อขับรถไปสงขลากัน แต่เมื่อไปถึงท่านไม่อยู่ก็เลยไม่ได้พบกันส่วนเรื่องสำนวนคดี การเตรียมเอกสารต่าง ๆ ผมกลับไปปรึกษาพี่ประยูรเดช คณานุรักษ์ ทนายความที่ปัตตานีวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๓๗ ผมได้รับหนังสือจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยให้ไปให้ปากคำในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พอผมเดินเข้าไปในห้องสอบสวนแนะนำตัวเสร็จ ประธานกรรมการฯหยิบกระดาษขึ้นมา ๑ ชิ้น ตัดเป็นรูปมีดยาวเกือบ ๒ ฟุต แล้วถามผมว่าคุณหยิบมีดแบบนี้ขึ้นมาเพื่อทำร้ายคุณหมอสุเทพใช่มั๊ย ผมก็ปฏิเสธไป หลังจากนั้นประธานฯก็เป็นฝ่ายถามผมเรียกว่ากรรมการคนอื่นแทบจะไม่พูดอะไรได้แต่นั่งฟัง คำถามก็เป็นไปในทำนองยั่วยุให้ผมเพลี่ยงพล้ำตกปากรับคำไปว่าผมมีเจตนาทำร้ายคุณหมอสุเทพ ผมก็ต้องตั้งสติควบคุมอารมณ์ค่อย ๆ ตอบปฏิเสธไป หลังจากนั้นก็นำเอกสารที่เตรียมไว้มาให้ผมอ่านแล้วเซ็นชื่อรับทราบ แต่ผมเขียนความเห็นปฏิเสธในสิ่งที่คณะกรรมการฯมีความเห็น


ต่อมาผมทราบจากน้อง ๆ พยาบาลห้องผ่าตัดที่ถูกเรียกไปสอบสวนในฐานะพยานว่าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ผมไปให้ปากคำกับกรรมการสอบสวนวินัยแล้ว กรรมการได้เรียกพยานเข้าไปพบและบอกว่าหมอปานเทพมาสารภาพเรื่องทั้งหมดแล้ว พยานมีอะไรจะเปลี่ยนแปลงคำให้การหรือไม่ แต่พยานทุกคนต่างก็ยืนยันว่าทุกอย่างที่เล่าให้กรรมการฟังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงคำให้การ นับว่าเป็นวิธีการสอบสวนที่สุดยอดมาก ผมทราบเรื่องนี้ก็ลุ้นระทึกว่าจะเจอไม้ไหนของกรรมการ


ในระหว่างนี้ทางเจ้าพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีผมได้เรียกผมไปพบและบอกว่าผมสอบสวนทั้งผมและเจ้าทุกข์ตลอดจนพยานทุกปากแล้วมีความเห็นว่าการกระทำของผมไม่เข้าข่ายความผิดฐานพยายามฆ่าตามที่เจ้าทุกข์แจ้งความ จะสรุปสำนวนส่งให้เจ้าพนักงานอัยการพิจารณา หากอัยการเห็นชอบตามที่เจ้าพนักงานสอบสวนเสนอก็จบ แต่หากมีความเห็นแย้งก็ตั้งเรื่องสั่งฟ้องต้องไปสู้คดีกันในชั้นศาล คราวนี้อาเจริญ สุวรรณมงคล ญาติผู้ใหญ่ผมอีกคนออกโรงพาผมนั่งรถเบนซ์ 500 SEL คันโตไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านแต้เฮียงอิ๊วถนนนางงาม สงขลา อิ่มแล้วพาผมไปที่สำนักงานอัยการเขต ๙ เพื่อไปพบท่านอัยการเขต เล่าให้ท่านฟังเรื่องราวทั้งหมด ท่านบอกว่าไม่เห็นว่าจะมีพฤติกรรมพยายามฆ่าเลย แล้วเป็นคดีแปลกที่หมอแย่งกันทำผ่าตัดผู้ป่วย แล้วก็ให้ผมเล่าให้ท่านอัยการจังหวัดสงขลาฟังอีกครั้ง ท่านอัยการจังหวัดก็มีความเห็นทำนองเดียวกัน ท่านบอกว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ขอดูสำนวนที่เจ้าพนักงานสอบสวนส่งมาก่อน สุดท้ายสำนักงานอัยการจังหวัดสงขลามีคำสั่งที่ อส(สข) ๐๐๒๐/๓๐๔๑ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๗ มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายปานเทพ คณานุรักษ์ตามข้อกล่าวหาของนายแพทย์สุเทพ พิทักษิณาเจนกิจ เป็นอันว่าผมจบไป ๑ เรื่อง ยังเหลือทางฝั่งกรรมการสอบสวนวินัยข้าราชการ และทางแพทยสภา


หลังจากจบคดีอาญาบ้านเมืองได้ ผมก็ลุ้นกับการลงโทษทางวินัยข้าราชการ ช่วงนั้นผมเริ่มทำใจได้ยอมรับกับชะตากรรมที่เกิดจากการกระทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่มีเพื่อนฝูงและญาติผู้ใหญ่หลายคนเห็นว่าผมมีความผิดจริงแต่กระบวนการของการสอบสวนทางวินัยนั้นผมไม่ได้รับความเป็นธรรม เหมือนว่าคณะกรรมการสอบสวนจะมีธงอยู่ในใจแล้วว่าจะจัดการกับผมอย่างไร จึงมีการระดมสรรพกำลังมาช่วยเหลือผม คนแรกเป็นสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารมื้อเที่ยงจิบกาแฟกับผมยามบ่ายมาเป็นเวลา ๑๐ กว่าปี ในที่รวมพลคนตานีในหาดใหญ่ ท่านคืออาจารย์ธงชัย พึ่งรัศมี อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.อ. ซึ่งครอบครัวเราสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อ อาจารย์ธงชัยเป็นนักสำรวจแร่ที่เก่งมากเคยออกไปสำรวจแหล่งแร่กับพ่อผมแถวถ้ำทะลุและลำพะยา ยะลา ภรรยาอาจารย์ธงชัยคืออาจารย์พรรณี นามสกุลเดิมนิธิอุทัย ตระกูลเก่าแก่ของปัตตานีอีกตระกูลหนึ่งเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผมตอนอยู่ชั้นปรีคลินิกอาจารย์ธงชัยบอกว่ากระบวนการสอบสวนวินัยหลังจากคณะกรรมการตัดสินแล้วจะต้องเสนอความเห็นไปให้ อนุกรรมการสามัญมหาวิทยาลัย (อ.ก.ม.) พิจารณาขั้นสุดท้าย อ.ก.ม.ประกอบด้วยอธิการบดีเป็นประธาน รองอธิการบดีและคณบดีคณะต่าง ๆ เป็นกรรมการ ผมต้องหาทางชี้แจงข้อเท็จจริงให้ อ.ก.ม.ทุกคนทราบ ผมจึงทำหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และ อ.ก.ม.ทุกคน นอกจากนี้อาจารย์ธงชัยยังพาผมไปพบคณบดีบางคณะเพื่อเล่าเรื่องราวด้วยวาจา

ส่วนทางวิทยาเขตปัตตานีผมไปพบและเล่าเรื่องราวให้อาจารย์ประหยัด ศรีวิหะ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งบริหารหลายอย่างฟัง อาจารย์ได้กรุณาเป็นตัวแทนไปเล่าข้อเท็จจริงให้บรรดา อ.ก.ม.ที่เป็นผู้บริหารวิทยาเขตปัตตานีฟัง วันหนึ่งอาเจริญ สุวรรณมงคลได้ชวนผมไปกินมื้อเย็นที่ภัตตาคารลอนดอน ปัตตานี และให้ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อาจารย์ปัญญ์ ยวนแหล รองอธิการบดีวิทยาเขตปัตตานี เรียกว่าผมได้รับความช่วยเหลือจากญาติมิตรในการต่อสู้เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ สุดท้ายอธิการบดีได้ลงนามในคำสั่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ ๒๐๘๗/๒๕๓๗ เรื่องภาคทัณฑ์ข้าราชการ ลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๗ เนื้อหาโดยสรุปว่าเนื่องจากพบว่าผมไม่มีเจตนาจะทำร้ายหรือเจตนาฆ่า จึงมีความผิดเพียงเล็กน้อยสมควรลงโทษภาคทัณฑ์ ผมพ้นอีก ๑ ศาล


ทางด้านแพทยสภาผมมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมไป ๑ ฉบับ โดยแจ้งว่าทางเจ้าพนักงานสอบสวนและเจ้าพนักงานอัยการมีความเห็นเป็นที่สิ้นสุดว่าไม่ฟ้องผมในข้อหาพยายามฆ่า และทางแพทยสภาได้นัดผมไปให้ปากคำต่อคณะกรรมการสอบสวนของแพทยสภา ซึ่งในที่สุดแพทยสภามีความเห็นให้ภาคทัณฑ์ผมและคุณหมอสุเทพ ด้วยข้อหาไม่ให้เกียรติต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ เป็นอันว่าผมจบศาลสุดท้าย

สรุปที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อให้รู้ว่าด้วยอารมณ์ชั่ววูบตัดสินใจทำอะไรลงไปแบบไม่คิดของผมทำให้ผมและคนรอบข้างต้องลำบากลำบนเพียงใดการกระทำของผมในครั้งนั้นเป็นตราบาปติดตัวผมไปตลอด ยิ่งเจอกระแสข่าวที่เติมสีใส่ไข่โดยที่ไม่เคยมีใครถามผมถึงข้อเท็จจริงส่งผลกระทบกับชีวิตผมมากมาย ผมลาออกจากราชการเพราะมีเพื่อนพ่อผมชวนให้ผมไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เมื่อผมลาออกไปยังไม่ทันได้เข้าทำงานทางโรงพยาบาลแห่งนั้นก็ตอบปฏิเสธผมดื้อ ๆ ด้วยไปรู้เรื่องราวของผมมาจากแหล่งข่าวบางคน ผมต้องกลายเป็นหมอที่ตกงาน ต้องเปิดหนังสือพิมพ์หาว่าที่ไหนรับสมัครหมอบ้างแล้วก็ตระเวนไปสมัคร มีหลายแห่งที่ตกปากรับคำผมแล้วก็เปลี่ยนใจหลังจากที่รู้เรื่องราวของผม ผมตกงานอยู่หลายเดือนเลย


ผมโชคดีที่วันหนึ่งผมกลับเข้ารับราชการอีกครั้งที่โรงพยาบาลบ้านโป่ง ราชบุรี โดยที่ผมเล่าเรื่องราวของผมให้พี่วิทยา จารุพูนผล ผู้อำนวยการฟังอย่างละเอียด สิ่งที่พี่เขาพูดกับผมคือ “ผมไม่สนใจเรื่องอดีต ผมขอบคุณที่ปานเทพเล่าเรื่องในเชิงลบของปานเทพให้ผมฟัง ผมยินดีรับปานเทพมาเป็นหมอที่นี่” ผมเลยมีวันนี้ของผมได้สำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ในเชิงบวกผมก็ได้แต่ขอบคุณจากใจ ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องเชิงลบผมก็ขออโหสิต่อสิ่งที่ผมกระทำ และให้อโหสิกรรมต่อสิ่งที่ผมโดนกระทำ


สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้ไถ่บาปคือเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๕๐ ผมดำรงตำแหน่งผู้จัดการกองทุน Excellent center ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รับผิดชอบเรื่องงบประมาณของ Excellent center ด้านโรคหัวใจและโรคมะเร็ง วันหนึ่งผมไปประชุม Excellent center ด้านโรคหัวใจกับอาจารย์จาดศรี ประจวบเหมาะ ประธานคณะทำงานพัฒนา Excellent center ด้านโรคหัวใจที่โรงแรมแห่งหนึ่งในขอนแก่น ระหว่างที่รับฟังการนำเสนอข้อมูลมีคนมานั่งข้าง ๆ ผมคือคุณหมอสุเทพ พอผมหันไปเขาตกใจมากเหมือนเห็นผีรีบเดินออกไปจากห้องประชุมเลย หลังจากนั้นไม่นานศัลยแพทย์ทรวงอกของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีปัญหากับผู้บริหารมหาวิทยาลัยเรื่องการรับค่าตอบแทนภาระงานของ สปสช. ผมในฐานะผู้จัดการกองทุนเป็นเจ้าของเรื่องได้รับมอบหมายให้ไปเจรจาไกล่เกลี่ย คุณหมอสุเทพเป็นผู้นำทีมศัลยแพทย์ทรวงอกมา ผมก็บอกว่าพี่มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาเลย ผมทำตัวเหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันรุนแรงมาก่อนจนเจ้าหน้าที่ผมยังแปลกใจว่าผมทำได้อย่างไร ผมก็บอกว่าผมต้องขอบคุณคุณหมอสุเทพที่ทำให้ผมเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนแพทย์ที่ผมรักมากไม่ได้ แต่ได้มาทำงานระดับประเทศช่วยพัฒนาระบบบริการสำหรับคนไทยทั้งประเทศ


ทุกวันนี้ผมยังคิดถึงห้อง OR10 ห้องผ่าตัดที่ผมฝังตัวอยู่กับมันนานพอสมควร ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่มากมาย ผมยังคิดถึงพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ในห้องผ่าตัดโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ทั้งพยาบาลห้องผ่าตัด ทีมวิสัญญีวิทยาทุกคน ที่นั่นเป็นห้องผ่าตัดที่ผมไม่เคยมีปัญหากับใคร เป็นห้องผ่าตัดที่เต็มไปด้วยความเป็นพี่น้องจนมิอาจลืมเลือนไปจากใจ ผมหวังว่าหลังจากอ่านมหากาพย์ของผมจบแล้ว ข่าวที่บอกว่าผมถือมีดไล่ฟันคุณหมอสุเทพจนเลือดสาดกระจายทั่งห้อง OR10 คงจะหมดไปเสียที และทุกวันนี้ผมได้กลับเข้ามาในแวดวงเพื่อนฝูง พี่ ๆ น้อง ๆ ศัลยแพทย์ทรวงอกอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้มาในฐานะหมอผ่าตัดอีกต่อไป แต่ผมก็มีความสุขกับการทำงานด้านคุณภาพบริการผ่าตัดหัวใจ

Comments


เว็บไซต์นี้จัดทำเพื่อรวบรวมรายชื่อทายาทหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง(ตันเตียงสิ่น)ทุกสายสกุล และมีเรื่องราวต่าง ๆ ของตระกูลและท้องถิ่น รวมถึงนานาสรรพสาระต่าง ๆ

bottom of page