๗๒.บริการปฐมภูมิ
- drpanthep
- 25 เม.ย. 2565
- ยาว 1 นาที
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนเลยว่าผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีของบริการปฐมภูมิ ผมไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านสาธารณสุขศาสตร์ แต่ผมกำลังจะมโนเอาว่าคนที่มีพื้นฐานเป็น specialist ที่เกี่ยวกับบริการตติยภูมิอยากเห็นอะไรกับระบบบริการปฐมภูมิ
ผมติดตามการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่ สปสช.เข้าไปยุ่งเกี่ยวมานาน ตั้งแต่ผู้รับผิดชอบเป็นหมอ GP จนเปลี่ยนเป็นหมอที่มีบอร์ด จนเป็นเภสัชกร ผมยังไม่เห็นอนาคตว่าระบบบริการปฐมภูมิบ้านเรามันจะเดินไปถึงไหน เพราะเรามีนักวิชาการด้านบริการปฐมภูมิเยอะมาก หลายทฤษฎีหลายความคิดเห็น ทั้งฝั่ง สปสช. ฝั่ง สธ. พูดแต่หลักการตามทฤษฎีจนลืมมองบริบทที่เป็นความจริงในปัจจุบัน
วัฒนธรรมของคนไทยยังยึดติดกับหมอ ไม่มั่นใจหากต้องไปรับการรักษาจากบุคลากรสาธารณสุขสาขาอื่น ๆ ประกอบกับเรามีกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของบุคลากรสาขาต่าง ๆ กำหนดขอบเขตของการให้บริการไว้ ก็เป็นกับดักอันหนึ่งที่เราต้องแก้ไขให้ได้
ผมคิดว่าบริการปฐมภูมิในช่วงแรกต้องแยกออกเป็น ๒ ด้าน
๑.ด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค หรือ PP อันนี้เป็นหัวใจสำคัญเป็นงานเชิงรุกที่ต้องใช้ทักษะมากมาย เรามีบุคลากรที่จบด้านสาธารณสุข ด้านทันตสาธารณสุข และพยาบาล เป็นกำลังสำคัญ และมี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.)เป็นกำลังเสริมที่สำคัญ
๒.ด้านการรักษาพยาบาล เป็นงานตั้งรับ ต้องใช้ทีมปฏิบัติการที่มีแพทย์และพยาบาลเวชปฏิบัติ เภสัชกร เป็นกำลังหลักของทีม
การจัดกระบวนทัพแบบนี้ หัวใจสำคัญคือต้องพัฒนาศักยภาพบุคลากร ดึงเอาศักยภาพที่มีอยู่ของแต่ละวิชาชีพออกมาสร้างผลงานให้ประชาชนไว้วางใจ เพราะเรากำลังจะเปลี่ยนแนวคิดของประชาชนว่าการรับบริการด้านสาธารณสุขต้องไปที่โรงพยาบาลเป็นไปรับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิใกล้บ้านใกล้ใจ เราต้องเปลี่ยนผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่ล้นโรงพยาบาลเพราะผู้ป่วยติดหมอให้ไปติดการบริการปฐมภูมิใกล้บ้านใกล้ใจให้ได้
งานด้าน PP ในพื้นที่นอกเขตเมืองเรามีทีมงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สาธารณสุขอำเภอ สถานีอนามัยเป็นกำลังสำคัญอยู่ดั้งเดิมแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพียงแต่แยกส่วนไม่ให้บุคลากรเหล่านี้ต้องมาวุ่นวายกับการรักษาพยาบาล ใช้เวลาแต่ละวันให้หมดไปกับงาน PP อย่างจริงจัง
แต่งาน PP ยังมีจุดอ่อนในพื้นที่เขตเมือง ที่มีความซับซ้อนของสภาพบ้านเรือน และขาดหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างจริงจัง เราต้องดึงหน่วยงานสาธารณสุขขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เขามามีบทบาทในงานนี้
ส่วนงานด้านการรักษาพยาบาลอันนี้เป็นความท้าทายว่าทำอย่างไรผู้ป่วยจึงจะมั่นใจว่าไม่ต้องไปพบหมอที่เคยรักษาต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี ผมคิดว่าต้องใช้กลยุทธ์ของโรงเรียนแพทย์คือประกบตัว ตอนเราเป็นนักเรียนแพทย์เราจะต้องติดตามประกบอาจารย์ไปออกตรวจที่ OPD หรือไปดูผู้ป่วยในหอผู้ป่วย เราก็ต้องใช้วิธีนี้กับการก่อตั้งบริการปฐมภูมิ นั่นคือเราต้องให้ทีมรักษาพยาบาลของหน่วยบริการปฐมภูมิมาประกบทีมของโรงพยาบาลหมอประกบหมอ พยาบาลประกบพยาบาล เภสัชกรประกบเภสัชกร เพื่อให้ผู้ป่วยเห็นว่านี่คือทีมเดียวกัน เป็นทีมที่จะออกไปอำนวยความสะดวกใกล้บ้านใกล้ใจ
เมื่อทีมปฐมภูมิกลับไปให้บริการที่หน่วยของตน ระยะแรกต้องมีทีมจากโรงพยาบาลไปเยี่ยมเยียนและพูดสร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วยว่ามาถูกที่ถูกเวลาแล้ว
หน่วยบริการปฐมภูมิทุกแห่งต้องมีทีม PP มีทีมติดตามการรักษา ทีมเยี่ยมบ้าน แต่ไม่จำเป็นต้องมีทีมรักษา แล้วจัดตั้งเป็นเครือข่ายบริการปฐมภูมิให้มีหน่วยบริการที่ทำหน้าที่แม่ข่ายมีทีมรักษาพยาบาลอยู่ประจำ คอยทำหน้าที่เป็นทีมเสริม และประสานกับหน่วยบริการระดับโรงพยาบาล
ผมว่าแนวคิดของผมน่าจะเข้าท่ากว่าวันดีคืนดีก็เปลี่ยนชื่อสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล(รพ.สต.) วันดีคืนดีก็บอกว่าต้องมี District Health System(DHS) และเปลี่ยนเป็น District Health Board(DHB) เพราะเปลี่ยนหัว สุดท้ายบอกต้องชื่อเป็นไทยกลายเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ(พชอ.)ยาวไปโน่น สุดท้ายกำลังมีคำใหม่อีกแล้ว Primary care cluster คือเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนทฤษฎี แต่ไม่เคยเปลี่ยนการปฏิบัติ ระบบบริการปฐมภูมิมันเลยกลายเป็นประถม ที่ไม่ขึ้นมัธยมเพราะสอบไม่ผ่าน อีก ๑๐ ชาติก็ไม่ถึงชั้นอุดม
ความคิดผมอาจจะผิดก็ได้ เพราะผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าผมคิดแบบไม่รู้ทฤษฎีปฐมภูมิ คิดแบบหมอที่มีบอร์ดเฉพาะทางที่ถูกสอนมาให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบเร่งด่วนแข่งกับความเป็นความตาย ห้ามคิดซับซ้อน
อย่าเพิ่งเบื่อผมนะ ช่วงนี้ผมกำลังซ้อมเผื่อเขาเชิญไปแสดงวิสัยทัศน์ของการเป็นผู้บริหาร ฮิ ๆๆ
ความคิดเห็น