๘๒.สังเวียนการประชุม
- drpanthep
- 3 พ.ค. 2565
- ยาว 1 นาที
ช่วงนี้ผมเจอแบบฝึกหัดอะไรจากการทำงานเยอะมาก วันนี้มีการประชุมคณะทำงานเกี่ยวกับระบบบริการโรคด้านหนึ่งซึ่งผมทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะทำงาน ช่วงพักเที่ยงหมอรุ่นน้องคนหนึ่งที่อยู่ในที่ประชุมมากระซิบถามผมว่า พี่ปวดหัวมั๊ยคะ หนูปวดหัวแทนพี่เลย ผมได้แต่ยิ้ม ๆ บอกว่าปวดสิ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
มันเป็นบทเรียนของผมเองที่เข้าทำนองเรียนผูกก็ต้องรู้จักเรียนแก้ ตอนที่ตั้งคณะทำงานชุดนี้เมื่อผมรับโจทย์จากผู้บริหารระดับสูงมาว่าให้แก้ปัญหาเรื่องการบริการที่ไม่ชอบมาพากลทั้งเรื่องคุณภาพบริการและเรื่องการเบิกจ่ายเม็ดเงินเยอะมาก ผมก็เชิญผู้อาวุโสที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคนั้นมาหารือพร้อมทั้งนายกสมาคมวิชาชีพนั้น ๒ สมาคม คือสมาคม C และสมาคม I แต่ครั้งกระโน้นนายกสมาคม I ไม่มาร่วมหารือ ผมถามบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายว่าพี่ยินดีช่วยผม ช่วย สปสช.จัดระเบียบหรือเปล่า ทุกคนก็ตอบว่าด้วยความยินดี ในวันนั้นเราตกลงกันว่าเราจะกำหนดมาตรฐานการบริการและทำเกณฑ์ในการประเมินหน่วยบริการ นายกสมาคม C ที่มาร่วมประชุมเสนอตัวว่าเมื่อเกณฑ์เสร็จท่านจะจัดมือดีจากสมาคมท่านมาเป็นทีมตรวจประเมินให้
เราหารือกัน ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๒ นายกสมาคม I ก็ไม่ได้มาร่วมประชุมในครั้งแรกก็ยังไม่มาเช่นเคยทั้ง ๆ ที่ตอบรับ ผมก็จัดแจงตั้งคณะทำงานอย่างเป็นทางการ ผมคิดว่าสมาคม I ที่นายกสมาคมไม่มาร่วมประชุมคงไม่เห็นด้วยกับการทำงานของ สปสช. ไม่อยากร่วมสังฆกรรมด้วย ผมก็เลยไม่ได้แต่งตั้งท่านเป็นคณะทำงาน หลังจากคณะทำงานทำมาตรฐานหน่วยบริการและเกณฑ์เรียบร้อย กำลังจะทำการตรวจประเมิน ก็มีเสียงผ่านผู้บริหารระดับสูง สปสช.ว่า สปสช.ทำอะไรไม่เห็นสมาคม I อยู่ในสายตา ผมเลยทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นใหม่และแต่งตั้งนายกสมาคม I มาเป็นคณะทำงานด้วย
ผมเจอศึกหนักเลย จากเดิมที่เคยประชุมแบบเครียดเรื่องวิชาการ กลายเป็นเหมือนผมเปิดสังเวียน เพราะวิชาชีพนั้นแบ่งเป็น ๒ ขั้ว คือขั้วอำนาจเดิมที่เคยเป็นนายกสมาคม และกรรมการสมาคม I นั้นคือผู้อาวุโสที่ผมเชิญมาทั้งสิ้น ส่วนอีกขั้วเป็นขั้วอำนาจปัจจุบันคือกรรมการสมาคมปัจจุบัน ทั้ง ๒ ขั้วประกาศเจตนารมณ์ต่างกัน ขั้วผู้อาวุโสประกาศชัดเจนว่าเข้ามาทำงานให้ สปสช.แบบไม่หวังประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง แต่ต้องการให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพได้ใช้ครุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ส่วนขั้วนายกสมาคม I คนปัจจุบันก็มีเจตนาที่จะปกป้องสมาชิกไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจการเงินการคลังของ สปสช.จนไม่มีอิสระในการประกอบวิชาชีพอาจจะเป็นเหตุให้ผู้ป่วยได้รับการบริการที่ไม่มีคุณภาพ เรียกว่าต่างก็มีความปรารถนาดี แต่มองคนละด้านมองต่างมุมกัน
การประชุมคณะทำงานเริ่มเป็นสังเวียนหนักเมื่อนายกสมาคม I ทำหนังสือร้องเรียนไปที่กรรมาธิการของ สนช.ว่าครุภัณฑ์ที่ สปสช.จัดหาให้หน่วยบริการไม่น่าจะมีคุณภาพ และ สปสช.ไม่ร่วมมือกับสมาคม I ในการทำงาน ในการชี้แจงกรรมาธิการ สปสช.เชิญคณะทำงาน ๒ ท่านไปร่วมชี้แจง มีการชี้แจงแบบหนักหน่วงมาก เมื่อมีการประชุมคณะทำงานที่ สปสช.จึงเป็นประเด็นให้เกิดเลือดท่วมสังเวียน
ความขัดแย้งของ ๒ ขั้ว หนักขึ้นเมื่อมีมีแพทย์ ๒-๓ คนทำหนังสือร้องเรียนไปที่คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า สปสช.ไปเอาประกาศนียบัตรเถื่อนมาอ้างอิงในการกำหนดมาตรฐานบริการ ผมต้องทำหนังสือหารือไปที่ราชวิทยาลัยฯ ผู้เป็นคนออกประกาศนียบัตรนั้น ราชวิทยาลัยดังกล่าวทำหนังสือไปให้สมาคม I ชี้แจง เพราะสมาคม I เป็นผู้รับมอบจากราชวิทยาลัยให้เป็นผู้ดำเนินการฝึกอบรมและสอบ สมาคม I ตอบว่าสมาคมไม่มีนโยบายให้ใครนำประกาศนียบัตรดังกล่าวไปใช้อ้างอิงใด ๆ และราชวิทยาลัยฯยังได้ชี้แจงเพิ่มว่าผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรดังกล่าวไม่ได้แสดงว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ที่ไม่ได้รับประกาศนียบัตรดังกล่าวก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ สังเวียนของผมเดือดอีกแล้วเพราะประกาศนียบัตรดังกล่าวนี้คณะขั้วอำนาจเก่าเป็นผู้ดำเนินการ ด้วยมีเจตนาจะยกระดับแพทย์ที่ทำหัตถการด้านนี้ไม่ให้เป็นจับฉ่ายใครก็ทำได้
จะเห็นว่าการทำงานเกี่ยวกับคุณภาพบริการระดับโรงพยาบาลหรือ Quality of hospital care ไม่ได้หมู พอสังเวียนเริ่มเดือดผมก็ต้องคอยดึงอุณหภูมิลง ทั้ง ๆ ที่บางครั้งอุณหภูมิของผมก็กำลังจะทะลุจุดเดือดเหมือนกัน มันเป็นงานที่ผู้บริหารระดับเลขาธิการ รองเลขาธิการไม่เคยให้ความสำคัญ ปล่อยให้พวกผมว่ากันไปเอง ถ้าชั้นเชิงดีก็เอาตัวรอด วันไหนเพลี่ยงพล้ำก็ตายเอง
มีคนบอกว่าผมทำงานนี้ได้ดีพอสมควรเพราะผมเป็นชนกลุ่มน้อยของ สปสช. คือเป็นหมอที่เรียนจบบอร์ดเฉพาะทาง ซึ่งก็อาจจะจริงเพราะสันดานของผู้เชี่ยวชาญมักจะรู้ทันกัน รู้ใจกันว่าใครคิดอะไร อยู่ที่ใครจะทนทานกว่ากัน
แต่มันก็สนุกดีสำหรับผม การทำงานกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายถึงจะมีปัญหามากมายต้องแก้ มันก็ไม่มีอะไรเลวร้าย เพื่อนผมที่เป็นแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ศิริราชด้วยกันเคยบอกว่าชีวิตพวกเราไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าช่วงที่เป็นแพทย์ประจำบ้านศัลย์ศิริราชแล้ว ตอนนี้เพื่อนคนนั้นท่านเป็นปลัดกระทรวงแถว ๆ ถนนพระราม ๖ ไปแล้ว ส่วนผมก็ยังเดินย่ำต๊อกถอยหลังอยู่แถวศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ
แต่ที่แน่ ๆ การทำงานเกี่ยวกับคุณภาพบริการระดับโรงพยาบาลทำให้ผมรู้ว่าถ้าผมเป็นโรคอะไรผมควรไปหาหมอคนไหน ที่โรงพยาบาลไหน
ความคิดเห็น