ล่ามข้ามภพ ตอนที่ ๑
- drpanthep
- 30 ม.ค. 2566
- ยาว 1 นาที
พ.ศ.๒๖๐๐ ในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์อาจารย์วัยหนุ่มกำลังเล่าเรื่องราวของเมืองปัตตานีในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรีให้นักศึกษาฟังอย่างสนุกสนาน จากเด็กน้อยหลานชายที่ใกล้ชิดกับปู่ ได้รับการปลูกฝังให้สนใจประวัติของตระกูล ประวัติของถิ่นกำเนิดของตระกูล ช่วงที่ว่างปู่มักจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังเสมอด้วยความที่ปู่เป็นผู้ที่ช่างจดจำและค้นคว้าเรื่องราวประวัติศาสตร์ไว้เยอะทั้งที่เป็นเอกสารและประวัติศาสตร์เชิงบอกเล่า เมื่อถึงวัยที่ต้องตัดสินใจกับอนาคตของตนเอง เขาจึงตัดสินใจเลือกที่จะเรียนด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย แล้วจึงไปเรียนต่อปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยที่พระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม ก่อนที่จะไปศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล ประเทศสหรัฐอเมริกาเพราะที่นั่นได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่เก็บเอกสารโบราณของประเทศไทยไว้เยอะมาก เมื่อจบการศึกษากลับมาชายหนุ่มตัดสินใจที่จะเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยของรัฐในจังหวัดที่เป็นถิ่นกำเนิดของตระกูล เนื่องจากยังฝังใจกับคำสั่งสอนของปู่ที่ต้องการให้สนองคุณถิ่นกำเนิดของตระกูล แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้เกิดที่นั่นก็ตาม จนกระทั่งถึงเวลานี้ผ่านการสอนลูกศิษย์ลูกหามามากมาย ทำการค้นคว้าวิจัยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องราวของเมืองปัตตานีในยุครัตนโกสินทร์มีผลงานวิชาการตีพิมพ์ทั้งในและนอกประเทศเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว นับได้ว่าเป็นศาสตราจารย์ที่หนุ่มที่สุดของมหาวิทยาลัย ทุกเวทีเสวนาเกี่ยวกับเรื่องราวของปัตตานีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับชุมชนจีนเก่าแก่กือดาจีนอจะขาดผู้ร่วมเสวนาที่ชื่อ ศาสตราจารย์ปานปราชญ์หรืออาจารย์จีนของลูกศิษย์ไม่ได้เลย
อาจารย์หนุ่มถือหนังสือทายาทหลวงสำเร็จกิจกรจางวางไว้ในมือ เอนกายพิงพนักเก้าอี้หลับตาใช้ความคิด หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของปู่ที่รวบรวมประวัติตระกูลได้เกือบสมบูรณ์ เป็นประวัติตระกูลที่บรรดาทายาทหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง(ตันเตียงซิ่น)ได้ใช้ประโยชน์ไปต่อยอดประวัติทายาทสายต่าง ๆ เป็นหนังสือที่เขาได้อ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ นับครั้งไม่ถ้วนจนแทบจะจำได้ทุกตัวอักษรในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อคนหรือเรื่องราวต่าง ๆ โดยเฉพาะบทความจากหนังสือชีวิวัฒน์ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ในคราวที่เสด็จประพาสเมืองปัตตานี ในปี พ.ศ.๒๔๒๗ ที่ทรงบรรยายสภาพบ้านเมืองปัตตานีสมัยนั้นได้ละเอียดมาก จนเขาคิดว่าเหมือนกับเคยอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น
ในช่วง ๔-๕ ปีนี้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองหมกมุ่นกับรายชื่อบรรพบุรุษ โดยเฉพาะชื่อตันจูฮวด ในรายชื่อบุตรธิดาของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง(ตันเตียงซิ่น) มีชื่อบุตรชายคนหนึ่งชื่อตันจูฮวด แต่ปู่วงเล็บไว้ว่า “ไม่มีบุตรธิดา” แล้วเรื่องราวของตันจูฮวดก็หายไป ไม่มีเอ่ยถึงที่ใดอีกเลย ชายหนุ่มบอกกับตนเองว่าคุ้นเคยกับบรรพบุรุษท่านนี้มาก และคิดว่าน่าจะมีเรื่องราวของท่านอีกมากมายที่ลูกหลานรุ่นหลังไม่มีโอกาสได้รับรู้ อาจจะด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เคยถามรายละเอียดจากปู่ก็ทราบเพียงว่าฮวงซุ้ยน่าจะถูกขุดตอนที่มีการสร้างถนนสายปัตตานี-นราธิวาส ทำให้ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะต้องค้นหาเรื่องราวของตันจูฮวดให้ได้
อาจารย์จีนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มีน้ำมูก เนื่องจากเมื่อ ๒-๓ วันก่อนระหว่างที่เดินจากอาคารเรียนกลับที่พักโดนละอองฝน ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้ยาแล้วหยิบยาลดไข้ ยาลดน้ำมูกกิน จากนั้นก็อาบน้ำแล้วเข้านอนเร็วกว่าปกติ จากที่เคยนอนคืนละ ๔-๕ ชั่วโมง แต่คืนนี้อาจารย์จีนหลับสนิทแบบไม่รู้สึกตัวเลย จนกระทั่งมารู้สึกตัวตื่นพบว่าตนเองนอนหลับไปถึง ๑๒ ชั่วโมง โชคดีที่วันนี้ไม่มีชั่วโมงสอนนักศึกษา ชายหนุ่มรีบอาบน้ำอาบท่าแล้วไปทำงานตามปกติ
.............................................................
ที่เรือนของหลวงสำเร็จกิจกรจางวางซึ่งเป็นบ้านทรงจีนชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ อยู่กลางย่านตลาดจีน หรือกือดาจีนอเมืองปัตตานีวันนี้มีคนพลุกพล่านเนื่องจากเป็นวันที่จะเคลื่อนศพท่านเจ้าของบ้านไปฝังยังสุสาน หลวงสำเร็จกิจกรจางวางนั้นมีชื่อเดิมว่าตันเตียงซิ่น แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่าแป๊ะปุ่ย ท่านเป็นชาวเมืองเจียงจิวหู มณฑลฮกเกี้ยน สมัยวัยหนุ่มเป็นนักเลงมีพรรคพวกมากได้สมัครเข้าเป็นขบวนการกู้ชาติพรรรคดอกไม้ขาว แล้วโดนทางการจีนราชวงศ์แมนจูตามล่าตัว แป๊ะปุ่ยกับสมัครพรรคพวกจึงลงเรือสำเภาหนีออกทะเล โดยหวังว่าจะมุ่งหน้าไปยังประเทศสยาม เนื่องจากเคยได้ข่าวคราวที่ประเทศสยามมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นคนเชื้อสายจีนแต้จิ๋วแซ่แต้จึงหวังว่าจะไปขอพึ่งใบบุญ แต่ลมพัดเอาเรือเข้าฝั่งที่เมืองสงขลาจึงทราบว่ามีการผลัดแผ่นดินแล้ว ช่วงนี้เป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งราชวงศ์จักรี
เป็นความโชคดีของแป๊ะปุ่ยและเพื่อนฝูงที่ในขณะนั้นเจ้าเมืองสงขลาเป็นเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนเช่นกัน เป็นคนแซ่เหง่า จึงตัดสินใจไปขอพึ่งใบบุญพระยาวิเชียรคิรี(เถี้ยนเส้ง) เจ้าเมืองสงขลา แป๊ะปุ่ยประกอบอาชีพขายเนื้อหมูจนกระทั่งเกิดศึกระหว่างเมืองสงขลากับหัวเมืองจึงได้สมัครเข้าร่วมทัพเมืองสงขลา เมื่อเสร็จศึกสงครามเจ้าเมืองสงขลาจึงปูนบำเหน็จให้เป็นหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ย้ายไปทำหน้าที่เก็บภาษีอากรและดูแลชาวจีนที่เมืองปัตตานี หลวงสำเร็จกิจกรจางวางได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดี สามารถประสานงานกับเจ้าเมืองปัตตานีซึ่งเป็นชาวมลายูประหนึ่งเป็นญาติพี่น้อง ทำให้ชาวจีนเมืองปัตตานีทำมาค้าขายอย่างสงบสุข จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๒๑ หลวงสำเร็จกิจกรจางวางจึงล้มป่วยด้วยโรคชราและจากไปอย่างสงบในวันที่ ๑๘ เดือน ๑๐ จีน ปีขาล
ขบวนศพเคลื่อนจากหน้าเรือนของหลวงสำเร็จกิจกรจางวางไปตามถนนตลาดจีนจนถึงท่าน้ำระยะทางประมาณ ๖๐ วา จึงได้ยกศพขึ้นเรือแล้วแจวทวนแม่น้ำปัตตานีไปประมาณ ๘๐ เส้น ถึงหัวโค้งใกล้บ้านเจ้าเมืองปัตตานีจึงเลี้ยวเข้าคลองไปฝังยังฮวงซุ้ยที่เตรียมไว้ที่ปะกาฮารัง มีผู้มาร่วมไว้อาลัยมากมายทั้งบรรดาข้าราชการ กรมการเมือง ชาวจีน ชาวไทย และชาวมลายู จนที่ดินบริเวณรอบฮวงซุ้ยเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
คุณหลวงสำเร็จฯมีภรรยา ๔ คน มีลูกจากทุกภรรยารวมกัน ๑๓ คน เป็นชาย ๘ คน หญิง ๕ คน ลูกชายคนโตชื่อตันจูเบ้ง ได้เป็นหลวงสุนทรสิทธิโลหะ กัปตันจีนเมืองปัตตานี คือเป็นหัวหน้าชาวจีนแทนบิดา โดยมีน้องชายคนรองคือตันจูล้ายเป็นผู้ช่วย ลูกชายจากภรรยาคนที่ ๓ คนหนึ่งชื่อตันจูฮวดเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา สติปัญญาเฉียบแหลม อายุห่างจากพี่ชายคนโตและคนที่ ๒ สิบกว่าปีจึงเป็นที่รักใคร่เป็นที่เอ็นดูของพี่ชายมาก โดยเฉพาะตันจูล้ายพี่ชายคนที่ ๒ เอ็นดูน้องชายคนนี้มากเป็นพิเศษเพราะมีใบหน้าคล้ายกันดั่งฝาแฝด จึงส่งเสริมให้ตันจูฮวดได้ร่ำเรียนสรรพวิทยาทั้งด้านภาษาไทยภาษาจีนภาษามลายู ด้านการค้า ด้านการต่อสู้ตลอดจนไสยศาสตร์ เมื่อคุณหลวงสำเร็จฯผู้เป็นบิดาจากไปตันจูฮวดมีอายุประมาณ ๑๔-๑๕ ปี อยู่ในวัยคะนอง ตันจูล้ายผู้พี่จึงให้ตันจูฮวดติดตามเป็นคนสนิทของตนทั้งเพื่อจะสอนงานการต่าง ๆ และเพื่อให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา
.............................................................


ความคิดเห็น