คำให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๗๔ เพื่อนรักของพ่อในวัยหนุ่ม
- drpanthep
- 28 ม.ค. 2566
- ยาว 1 นาที
วันก่อนน้องชายโพสท์รูปเรื่องราวที่ได้มีโอกาสไปถ่ายรูปพิธีอำลาตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วมีรูปขบวนจักรยานยนต์เกียรติยศทำหน้าที่อารักขาบุคคลสำคัญ ทำให้ผมคิดถึงเพื่อนพ่อคนหนึ่ง
พ่อเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาร่วมกับพี่ ๆ น้อง ๆ วัยใกล้เคียงกันที่บ้านคุณทวดตันเป้าเลี่ยง(คณานุรักษ์) วัฒนายากร ซึ่งเป็นยายของพ่อ ส่วนการเรียนก็ผ่านมาหลายโรงเรียน ก่อนวัยเรียนก็เรียนกับครูพิมพ์ซึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านปู่ บริเวณที่เป็นลานจัดกิจกรรมกือดาจีนอ จากนั้นก็เรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดปัตตานีหรือโรงเรียนเบญจมราชูทิศปัตตานี โรงเรียนอเมริกันสกูลฟอร์บอย นครศรีธรรมราช โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน กทม. บางแห่งก็เข้าออกหลายรอบ เพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงมีความลำบากหลายเรื่อง
ช่วงวัยหนุ่มของพ่อ คือตอนเรียน ม.๗-ม.๘ ที่กรุงเทพคริสเตียน พ่อมีเพื่อนรักคนหนึ่งเป็นคน กทม. ชื่อต๋ง ชื่อจริงว่าสำเริง สิงหเดช เป็นเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกันตลอด พ่อกับอาต๋งเป็นนักฟุตบอลล์รุ่นใหญ่ของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สมัยนั้นเขาจัดรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นเล็ก โดยวัดความสูงของนักกีฬา พ่อบอกว่าตอนที่พ่อเป็นรุ่นใหญ่ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ยังใช้นามสกุลก้อนแก้วเล่นรุ่นเล็ก อาตี๋ พล.ต.ต.วันชัย สุวารี อดีตผู้บังคับการตำรวจป่าไม้ก็เล่นรุ่นเล็ก
พ่อเล่นตำแหน่งแบ๊คขวาคู่กับอาต๋งซึ่งเล่นเป็นแบ๊คซ้าย ผู้รักษาประตูชื่อมนัส เป็นคนภาคเหนือ ส่วนคนอื่น ๆ พ่อนึกไม่ออกว่ามีใครบ้าง จำได้ว่ามีกองหน้าคนหนึ่งภายหลังทำงานแบงค์ชาติแต่นึกชื่อไม่ออก ครูที่เป็นผู้ฝึกสอนชื่อครูเหลียง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสมศักดิ์ นามสกุลกฤษณะอะไรไม่แน่ใจว่า กฤษณะสุวรรณหรือเปล่า ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๗ ครูเหลียงคุมทีมสโมสรธนาคารกรุงเทพไปเล่นที่ปัตตานี ผมยังตามพ่อไปคารวะครูเหลียง
หลังจากจบ ม.๘ พ่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เลยไปเรียนที่โรงเรียนชาญวิทย์พิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่ชื่อเสียงโด่งดังมากในยุคนั้น โรงเรียนอยู่แถวสะพานเหลือง สุดท้ายพ่อก็กลับไปทำเหมืองแร่ดีบุกที่ถ้ำทะลุ ยะลา ส่วนอาต๋งไปเป็นทหารแล้วต่อมาสอบเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยสำรองซึ่งเป็นหลักสูตรที่เปิดเพื่อผลิตนายทหารหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาต๋งจบแล้วติดยศเป็นสัญญาบัตรก็โอนย้ายไปเป็นตำรวจ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อจากสำเริงเป็นเริงฤทธิ์
อาต๋งประจำการที่กองกำกับการตำรวจสันติบาล ช่วงนั้นมีการจัดตั้งหน่วยจักรยานยนต์สำหรับทำหน้าที่ถวายอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในริ้วขบวนพระราชพิธี ตลอดจนอารักขาประมุขของประเทศต่าง ๆ ในโอกาสที่มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อาต๋งเป็น ๑ ในนายตำรวจที่ทำหน้าที่ขี่จักรยานยนต์ Harley-Davidson เวลาปฏิบัติหน้าที่จะอยู่ในชุดสีกากีเต็มยศสวมหมวกนิรภัยแว่นตากันแดดสีดำรองเท้าบู๊ทสีน้ำตาล มันโก้มากในสายตาเด็ก ๆ อย่างผม เสียดายไม่มีรูปถ่ายอาต๋งในชุดเต็มยศและขีจักรยานยนต์
อาต๋งแต่งงานกับภรรยาซึ่งมาจากตระกูล ณ นคร มีลูก ๒ คน คนโตเป็นผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับผม คนเล็กเป็นผู้หญิง ช่วงที่ครอบครัวเรายังอยู่นราธิวาสก่อนจะย้ายกลับปัตตานีเล็กน้อย อาต๋งไปเที่ยวนราธิวาสไปนั่งคุยกับพ่อเอาปืนมาอวดกัน อาต๋งเพิ่งซื้อปืน Colt Government Model .45 ส่วนพ่อใช้ Smith&Wesson Model39 ขนาด 9mm พ่อขอแลกปืนกับอาต๋ง แต่อาต๋งไม่ยอมแลกด้วย หลังจากนั้นไม่นานหนังสือพิมพ์ก็ลงข่าว ร.ต.อ.หนุ่มยิงลูกเมียตายแล้วยิงตัวตายตาม อาต๋งใช้ปืนกระบอกที่นำมาอวดพ่อนั่นแหละยิงลูกชายและภรรยาตายแล้วยิงตัวตายปิดคดี ส่วนน้องเจี๊ยบลูกสาวอาต๋งผมจำไม่ได้ชัดว่าโดนยิงแล้วไม่ตายหรือว่าไม่อยู่ในเหตุการณ์เลยรอดชีวิต เป็นอันจบเรื่องราวของเพื่อนที่พ่อสนิทที่สุดในวัยหนุ่ม

บันทึกวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๓



ความคิดเห็น