คำให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๗๖ ที่มาของชื่อ…..หัวตลาด
- drpanthep
- 29 ม.ค. 2566
- ยาว 1 นาที
ก่อนอื่นคงต้องเล่าพื้นเพว่าเหตุใดจึงมีชาวจีนมาอาศัยอยู่ในเมืองตานี ซึ่งเป็นหัวเมืองมลายูที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวจีนได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองตานีตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เท่าที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจนจาก ที่ William G. Skinner เขียนไว้ในบทความเรื่อง สังคมจีนในประเทศไทย : ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ (Chinese Society in Thailand : An Analytical History) ระบุว่ามีบันทึกของพ่อค้าชาวฮอลันดา เมื่อปีพ.ศ.๒๑๕๙ ซึ่งตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ ระบุว่ามีชาวจีนอาศัยอยู่ในเมืองตานีเป็นจำนวนมาก กล่าวได้ว่าแทบจะเดินชนกัน ซึ่งถ้านำมาเทียบกับประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีในช่วงเวลานั้น เจ้าผู้ครองเมืองตานีเป็นช่วงต่อเนื่องระหว่างเจ้าหญิงฮียากับเจ้าหญิงบีรู ที่ตั้งเมืองตานียังอยู่บริเวณริมทะเลในตำบลตันหยงลูโล๊ะปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือหลักจารึกหน้าฮวงซุ้ยโบราณที่ค้นพบที่ชายทะเลตำบลตันหยงลูโล๊ะที่ระบุว่าเป็นฮวงซุ้ยของสตรี ที่ถึงแก่กรรมในสมัยปีหลิมสิน ศักราชบ้วนเละ แห่งราชวงศ์เหม็งซึ่งตรงกับพ.ศ.๒๑๓๕ ย่อมชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยชาวจีนก็ได้เข้ามาอยู่ในเมืองตานีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่เมืองตานียังอยู่ที่ริมทะเลตำบลตันหยงลูโล๊ะ
ส่วนหัวตลาดของเราเป็นแหล่งพำนักของชาวจีนตั้งแต่สมัยไหน ข้อนี้ก็ได้มาจากเรื่องราวของศาลเจ้าเล่งจูเกียงหรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเคยมีจารึกบอกเรื่องราวการก่อตั้ง แต่เป็นความโชคร้ายของพวกเราที่มันสูญหายไปจากการบูรณะตัวอาคาร บนความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่มีผู้จดบันทึกไว้ว่าศาลเจ้าแม่ฯของเราก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยบ้วนเละ ปีที่ ๒ ก็ตรงกับ พ.ศ.๒๑๑๗ สมัยพระมหาธรรมราชา กรุงศรอยุธยา จะเห็นว่าเป็นยุคสมัยเดียวกับป้ายฮวงซุ้ยโบราณที่กล่าวถึงมาก่อนหน้านี้ ถ้าจะว่าไปแล้วสมัยนั้นแถวหัวตลาดเราก็อาจจะเป็นชนบทห่างไกลจากเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ที่ตันหยงลูโล๊ะ เป็นธรรมเนียมของชาวจีนที่ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องตั้งศาลเจ้าประจำชุมชนที่เรียกว่าศาลปุนเถ้ากง
เมืองปัตตานีตั้งอยู่ที่ตันหยงลูโล๊ะเป็นเวลา ๑๐๐ ปีเศษ จนกระทั่งถึงยุคของตนกูปะสา แห่งราชวงศ์กลันตัน ซึ่งปกครองเมืองปัตตานีในช่วง พ.ศ.๒๓๘๘-๒๓๙๙ จึงย้ายมาตั้งเมืองใหม่ที่จะบังติกอ นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุมชนชาวจีนที่หัวตลาดเจริญ เพราะอยู่ใกล้เมืองหลวงมากขึ้น
ไม่พบเอกสารใด ๆ ที่กล่าวเจาะจงถึงหัวตลาดหรือชุมชนจีนเมืองปัตตานี จนกระทั่งมีรายงานการเดินทางของ William Cameron ในวารสาร Journal of Strait Branch of the Royal Asiatic Society ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๖ ซึ่งเป็นการเดินทางมาเมืองปัตตานีในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๒๑ โดยเล่าว่าเมืองปัตตานีตั้งอยู่ห่างจากทะเลประมาณ ๒ ไมล์ ในเมืองมีหมู่บ้านชาวจีนที่มีถนนขึ้นมาจากแม่น้ำ มีประตูใหญ่สร้างอย่างแข็งแรงด้วยอิฐมีหลังคาอยู่ที่หัวถนนริมแม่น้ำ ผ่านประตูเข้าไปเป็นบ้านเรือนร้านค้าก่อสร้างอย่างดีด้วยอิฐโบกปูน มีกัปตันจีนทำหน้าที่ควบคุมธุรกิจการค้ารวมถึงการขนส่งสินค้า ตลอดจนเป็นผู้เก็บภาษีขาเข้าขาออก และยังเป็นตุลาการผู้มีอำนาจเต็มในการตัดสินคดีความของชาวจีน กัปตันจีนมีพี่ชายชื่อจูเบ้ง เป็นดาโต๊ะเหมืองแร่ เป็นนายอากรฝิ่นเป็นผู้ที่มีนิสัยเข้มแข็ง มีอำนาจมากที่สุดในเมืองปัตตานี ทั้งดาโต๊ะจูเบ้ง กัปตันจีน และรายาต่างก็ขึ้นกับเจ้าเมืองสงขลา
เอกสารที่เล่าเรื่องหัวตลาดได้อย่างละเอียดที่สุดคือหนังสือชีวิวัฒน์ ซึ่งเป็นบันทึกการเดินทางไปหัวเมืองปักษ์ใต้ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๗ ทรงเล่าถึงเมืองปัตตานีไว้ว่าเมื่อล่องเรือจากปากอ่าวเข้ามาถึงแม่น้ำที่กว้าง ๒ เส้นเศษก็ราว ๆ ๘๐ เมตรเศษ เจอตึกจีน ๒ ชั้น ๓ หลังแฝดของกัปตันจีนอยู่ริมน้ำ มีประตูใหญ่ที่มุมถนน ผ่านประตูเข้าไปเป็นถนนกว้าง ๔ วาก็คือ ๘ เมตร บริเวณ ๒ ฟากถนนเป็นตึกจีนทำเป็นร้านค้าสลับกับโรงจากยาวไปประมาณ ๓ เส้น หรือ ๑๒๐ เมตร เดินไปจนสุดถนนจะเป็นศาลเทพารักษ์จีนเป็นตึกเก๋งจีนใหญ่ชื่อว่าปุนเถ้าก๋ง บริเวณในเขตประตูใหญ่นี้เรียกว่า “ท้องตลาดจีน”
ประชาชนในปัตตานีมีจำนวนประมาณ ๒ หมื่นคนเศษ เป็นชาวจีนประมาณ ๖๐๐ คน ส่วนใหญ่ทำการค้ารับสินค้าจากที่อื่นมาขายและนำสินค้าจากเมืองปัตตานีส่งออกไปขายที่อื่น ทำเหมืองดีบุก ทำโรงปั้นหม้อปั้นอิฐ พระยาตานีตั้งให้จีนตันจูล้ายเป็นนายภาษี
หัวตลาดมาถึงยุครุ่งเรืองที่สุดก็เป็นปี พ.ศ.๒๔๓๑ เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองปัตตานีเป็นครั้งแรก มีบันทึกในจดหมายเหตุพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ.๑๐๗ ว่าได้เสด็จทางเรือจากท่าน้ำวัดตานีไปขึ้นแพพลับพลาที่ประทับหน้าตลาดจีน เสด็จพระราชดำเนินขึ้นจากแพผ่านประตูตลาดจีนไปจนถึงศาลเจ้าซูก๋ง ในคราวเดียวกันนี้สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศก็ได้ทรงบันทึกจดหมายเหตุรายวันในวันจันทร์ที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๑ ว่าเสด็จกลับจากวัดไปยังพลับพลาที่ประทับหน้าบ้านกัปตันจีน เสด็จเข้าประตูบ้านจีนไปจนถึงศาลเจ้าซูก๋อง แล้วเสด็จไปตามตลาด เสด็จไปทางไหนก็มีคนมุงดูแน่นขนัดกัปตันจีนกับพี่สาวคอยรับรอง ไม่ว่าจะทรงซื้ออะไรกัปตันจีนกับพี่สาวก็ซื้อถวาย ในวันนี้ได้ทรงแต่งตั้งจีนจูล้ายที่เป็นกัปตันจีนเมืองปัตตานีให้เป็นหลวงจีนคณานุรักษ์หัวหน้าคนจีนในเมืองปัตตานี
มาในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษใต้ วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๘ ได้มีบันทึกว่ารถยนต์พระที่นั่งได้วิ่งผ่านตลาดจีน เจ้าของร้านลาดพรมแพรพรรณบนถนนและตั้งเครื่องบูชาจุดประทัดรับเสด็จ
ทั้งหมดนี่คือเรื่องราวของตลาดจีน ที่อยู่ในเอกสารของทางการ และวารสารต่าง ๆ ของชาวต่างชาติ ท้ายสุดผมไปเจอเรื่องราวของตลาดจีนในหนังสือประวัติต้นตระกูลเลขะกุลของนายขเจน เลขะกุล ที่ผมเรียกว่าก๋งเจ้ง ก๋งเจ้งเกิด พ.ศ.๒๔๓๒ ท่านเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักชื่อ กะดาจีนอ หรือตลาดจีน ท่านเล่าว่าเจ้าเมืองและชาวเมืองที่เป็นมุสลิมจะอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำปัตตานี ส่วนชาวจีนจะอาศัยในหมู่บ้านด้านตะวันออกของแม่น้ำเรียกว่า ตลาดจีนหรือกะดาจีนอ ที่กะดาจีนอมีประตูใหญ่เรียกว่าประตูไชยอยู่หัวตลาดและท้ายตลาด
นี่เป็นที่มาของชื่อ……หัวตลาด

บันทึกวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๕



ความคิดเห็น