คำให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๘๒ หัวตลาดและศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี
- drpanthep
- 29 ม.ค. 2566
- ยาว 4 นาที
หัวตลาดและศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี
“ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานี” หรือที่มีชื่อเป็นทางการว่า “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองของปัตตานีมาตั้งแต่ครั้งโบร่ำโบราณ ได้มีผู้นำประวัติของเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยวไปเผยแพร่อย่างมากมาย แต่ผู้เขียนเห็นว่ายังมีบางแง่มุมที่ไม่เคยมีท่านผู้ใดกล่าวถึง โดยเฉพาะแง่มุมของประวัติศาสตร์ ผู้เขียนจึงมีความคิดที่จะเล่าเกร็ดความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความศรัทธาในเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ข้อมูลที่ใช้ประกอบในการเขียนบทความครั้งนี้ผู้เขียนได้จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ได้ค้นคว้ารวบรวมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้งเอกสารทางราชการ ตำรา และบันทึกของญาติผู้ใหญ่ รวมไปถึงคำบอกเล่าของญาติผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นมิตรสหายกับญาติผู้ใหญ่ของตระกูลคณานุรักษ์ รวมถึงประสบการณ์ของผู้เขียนเอง
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าบทความนี้ผู้เขียนรวบรวมสิ่งที่ได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็นมาเขียนเป็นเรื่องเล่า ทั้งนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เป็นเอกสารวิชาการเพราะไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้บทความเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการใด ๆ ทั้งสิ้น จึงไม่มีการใส่เชิงอรรถระบุแหล่งข้อมูล แต่เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจอยากไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมในบางประเด็นจึงได้รวบรวมบรรณานุกรมไว้ท้ายบทความ
จะเริ่มต้นจากพื้นเพว่าเหตุใดจึงมีชาวจีนมาอาศัยอยู่ในเมืองตานีซึ่งเป็นหัวเมืองมลายูที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวจีนได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองตานีตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เท่าที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจนจากที่ William G. Skinner เขียนไว้ในบทความเรื่อง “สังคมจีนในประเทศไทย : ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์” (Chinese Society in Thailand : An Analytical History) ระบุว่ามีบันทึกของพ่อค้าชาวฮอลันดา เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๕๙ ซึ่งตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ ระบุว่ามีชาวจีนอาศัยอยู่ในเมืองตานีเป็นจำนวนมาก กล่าวได้ว่าแทบจะเดินชนกัน ซึ่งถ้านำมาเทียบกับประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีในช่วงเวลานั้น เจ้าผู้ครองเมืองตานีเป็นช่วงต่อเนื่องระหว่างเจ้าหญิงฮียากับเจ้าหญิงบีรู ที่ตั้งเมืองตานียังอยู่บริเวณริมทะเลในตำบลตันหยงลุโละปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือหลักจารึกหน้าฮวงซุ้ยโบราณที่ค้นพบที่ชายทะเลตำบลตันหยงลุโละที่ระบุว่าเป็นฮวงซุ้ยของสตรีที่ถึงแก่กรรมในสมัยปีหลิมสิน ศักราชบ้วนเละ แห่งราชวงศ์เหม็งซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๑๓๕ ย่อมชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยชาวจีนก็ได้เข้ามาอยู่ในเมืองตานีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่เมืองตานียังอยู่ที่ริมทะเลตำบลตันหยงลุโละ
ส่วนหัวตลาดของเราเป็นแหล่งพำนักของชาวจีนตั้งแต่สมัยไหน ข้อนี้ก็ได้มาจากเรื่องราวของศาลเจ้าเล่งจูเกียงหรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเคยมีจารึกบอกเรื่องราวการก่อตั้ง แต่เป็นความโชคร้ายของพวกเราที่มันสูญหายไปจากการบูรณะตัวอาคาร บนความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่มีผู้จดบันทึกไว้ว่าศาลเจ้าแม่ของเราก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยบ้วนเละ ปีที่ ๒ ก็ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๑๗ สมัยพระมหาธรรมราชา กรุงศรีอยุธยา จะเห็นว่าเป็นยุคสมัยเดียวกับป้ายฮวงซุ้ยโบราณที่กล่าวถึงมาก่อนหน้านี้ ถ้าจะว่าไปแล้วสมัยนั้นแถวหัวตลาดเราก็อาจจะเป็นชนบทห่างไกลจากเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ที่ตันหยงลุโละ เป็นธรรมเนียมของชาวจีนที่ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องตั้งศาลเจ้าประจำชุมชนที่เรียกว่าศาลปุนเถ้ากง
เมืองปัตตานีตั้งอยู่ที่ตันหยงลุโละเป็นเวลา ๑๐๐ ปีเศษ จนกระทั่งถึงยุคของตนกูปะสา แห่งราชวงศ์ กลันตัน ซึ่งปกครองเมืองปัตตานีในช่วง พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๓๙๙ จึงย้ายมาตั้งเมืองใหม่ที่จะบังติกอ นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุมชนชาวจีนที่หัวตลาดเจริญ เพราะอยู่ใกล้เมืองหลวงมากขึ้น
ไม่พบเอกสารใด ๆ ที่กล่าวเจาะจงถึงหัวตลาดหรือชุมชนจีนเมืองปัตตานี จนกระทั่งมีรายงานการเดินทางของ William Cameron ในวารสาร Journal of Strait Branch of the Royal Asiatic Society ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๖ ซึ่งเป็นการเดินทางมาเมืองปัตตานีในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๒๑ โดยเล่าว่าเมืองปัตตานีตั้งอยู่ห่างจากทะเลประมาณ ๒ ไมล์ ในเมืองมีหมู่บ้านชาวจีนที่มีถนนขึ้นมาจากแม่น้ำ มีประตูใหญ่สร้างอย่างแข็งแรงด้วยอิฐมีหลังคาอยู่ที่หัวถนนริมแม่น้ำ ผ่านประตูเข้าไปเป็นบ้านเรือนร้านค้าก่อสร้างอย่างดีด้วยอิฐโบกปูน มีกัปตันจีนทำหน้าที่ควบคุมธุรกิจการค้ารวมถึงการขนส่งสินค้า ตลอดจนเป็นผู้เก็บภาษีขาเข้าขาออก และยังเป็นตุลาการผู้มีอำนาจเต็มในการตัดสินคดีความของชาวจีน กัปตันจีนมีพี่ชายชื่อจูเบ้ง เป็นดาโต๊ะเหมืองแร่ เป็นนายอากรฝิ่นเป็นผู้ที่มีนิสัยเข้มแข็ง มีอำนาจมากที่สุดในเมืองปัตตานี ทั้งดาโต๊ะจูเบ้ง กัปตันจีน และรายาต่างก็ขึ้นกับเจ้าเมืองสงขลา
เอกสารที่เล่าเรื่องหัวตลาดได้อย่างละเอียดที่สุดคือหนังสือชีวิวัฒน์ ซึ่งเป็นบันทึกการเดินทางไปหัวเมืองปักษ์ใต้ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๗ ทรงเล่าถึงเมืองปัตตานีไว้ว่าเมื่อล่องเรือจากปากอ่าวเข้ามาถึงแม่น้ำที่กว้าง ๒ เส้นเศษก็ราว ๆ ๘๐ เมตรเศษ เจอตึกจีน ๒ ชั้น ๓ หลังแฝดของกัปตันจีนอยู่ริมน้ำ มีประตูใหญ่ที่มุมถนน ผ่านประตูเข้าไปเป็นถนนกว้าง ๔ วา ก็คือ ๘ เมตร บริเวณ ๒ ฟากถนนเป็นตึกจีนทำเป็นร้านค้าสลับกับโรงจากยาวไปประมาณ ๓ เส้น หรือ ๑๒๐ เมตร เดินไปจนสุดถนนจะเป็นศาลเทพารักษ์จีนเป็นตึกเก๋งจีนใหญ่ชื่อว่าปุนเถ้าก๋ง บริเวณในเขตประตูใหญ่นี้เรียกว่า “ท้องตลาดจีน”
ประชาชนในปัตตานีมีจำนวนประมาณ ๒ หมื่นคนเศษ เป็นชาวจีนประมาณ ๖๐๐ คน ส่วนใหญ่ทำการค้า รับสินค้าจากที่อื่นมาขายและนำสินค้าจากเมืองปัตตานีส่งออกไปขายที่อื่น ทำเหมืองดีบุก ทำโรงปั้นหม้อปั้นอิฐ พระยาตานีตั้งให้จีนตันจูล้ายเป็นนายภาษี
หัวตลาดมาถึงยุครุ่งเรืองที่สุดก็เป็นปี พ.ศ. ๒๔๓๑ เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองปัตตานีเป็นครั้งแรก มีบันทึกในจดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ.๑๐๗ ว่าได้เสด็จทางเรือจากท่าน้ำวัดตานีไปขึ้นแพพลับพลาที่ประทับหน้าตลาดจีน เสด็จพระราชดำเนินขึ้นจากแพผ่านประตูตลาดจีนไปจนถึงศาลเจ้าซูก๋ง ในคราวเดียวกันนี้สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศก็ได้ทรงบันทึกจดหมายเหตุรายวันในวันจันทร์ที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ว่าเสด็จกลับจากวัดไปยังพลับพลาที่ประทับหน้าบ้านกัปตันจีน เสด็จเข้าประตูบ้านจีนไปจนถึงศาลเจ้าซูก๋อง แล้วเสด็จไปตามตลาด เสด็จไปทางไหนก็มีคนมุงดูแน่นขนัด กัปตันจีนกับพี่สาวคอยรับรอง ไม่ว่าจะทรงซื้ออะไรกัปตันจีนกับพี่สาวก็ซื้อถวาย ในวันนี้ได้ทรงแต่งตั้งจีนจูล้ายที่เป็นกัปตันจีนเมืองปัตตานีให้เป็นหลวงจีนคณานุรักษ์หัวหน้าคนจีนในเมืองปัตตานี
มาในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษใต้ วันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้มีบันทึกว่ารถยนต์พระที่นั่งได้วิ่งผ่านตลาดจีน เจ้าของร้านลาดพรมแพรพรรณบนถนนและตั้งเครื่องบูชาจุดประทัดรับเสด็จ
ทั้งหมดนี่คือเรื่องราวของตลาดจีนที่อยู่ในเอกสารของทางการและวารสารต่าง ๆ ของชาวต่างชาติ ท้ายสุดผู้เขียนไปเจอเรื่องราวของตลาดจีนในหนังสือประวัติต้นตระกูลเลขะกุลของนายขเจน เลขะกุล ที่ผู้เขียนเรียกว่าก๋งเจ้ง ก๋งเจ้งเกิด พ.ศ. ๒๔๓๒ ท่านเป็นคนที่ทำให้ผู้เขียนรู้จักชื่อ กือดาจีนอ หรือตลาดจีน ท่านเล่าว่าเจ้าเมืองและชาวเมืองที่เป็นมุสลิมจะอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำปัตตานี ส่วนชาวจีนจะอาศัยในหมู่บ้านด้านตะวันออกของแม่น้ำเรียกว่า ตลาดจีนหรือกือดาจีนอ ที่กือดาจีนอมีประตูใหญ่เรียกว่าประตูไชยอยู่หัวตลาดและท้ายตลาด นี่เป็นที่มาของชื่อ……หัวตลาด
ในสมัยของตนกูปะสา ซึ่งตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เมื่อย้ายเมืองตานีมายังที่ใหม่ได้มีการสร้างวังเจ้าเมืองขึ้นที่ตำบลจะบังติกอ โดยอาศัยช่างชาวจีนเป็นผู้ออกแบบและทำการก่อสร้าง ในขณะนั้นผู้นำชาวจีนในเมืองตานี คือ หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงสิ่นหรือปุ่ย แซ่ตัน) ซึ่งเป็นต้นตระกูลคณานุรักษ์ได้เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้การก่อสร้างลุล่วงไปด้วยดี ซึ่งยังคงเห็นร่องรอยของสถาปัตยกรรมแบบจีนอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นประตูกำแพงลายเมฆ หรือกระเบื้องเขียวช่องลมลายจีน เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของชาวจีนกับชาวเมืองตานีในสมัยนั้น
ต่อมาเมื่อถึงสมัยของตนกูสุไลมานซารีฟุดดิน ซึ่งนับเป็นเจ้าเมืองคนที่ ๔ แห่งราชวงศ์กลันตันนับตั้งแต่ย้ายเมืองมายังที่ใหม่ ซึ่งปกครองเมืองตานีตั้งแต่ พ.ศ .๒๔๓๓ – ๒๔๔๒ ได้มีการสร้างวังเจ้าเมืองขึ้นใหม่ที่ตำบลจะบังติกอ และสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ขึ้นใกล้ ๆ วังเจ้าเมือง การก่อสร้างวังเจ้าเมืองในครั้งนั้น ก็ได้รับความร่วมมือจากคุณพระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล้าย คณานุรักษ์) ซึ่งเป็นผู้นำชาวจีนในเมืองตานีในขณะนั้นจัดหาช่างและวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเป็นจำนวนมากไปช่วย
ความสัมพันธ์ระหว่างตนกูสุไลมานฯ และคุณพระจีนคณานุรักษ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเมืองตานีอีกเรื่องก็คือในอดีตแม่น้ำตานีซึ่งมีต้นน้ำมาจากเขตเมืองยะลา มีความคดเคี้ยวมากเมื่อมาถึงบริเวณบ้านปรีกี อำเภอยะรังในปัจจุบัน จะวกเข้าไปในเขตปกครองของเมืองหนองจิกแล้ววกกลับเข้าเมืองตานี พระจีนคณานุรักษ์เมื่อครั้งยังเป็นที่หลวงจีนคณานุรักษ์ได้ทำบันทึกขึ้นกราบบังคมทูลไปยังกรุงเทพฯ เพื่อร้องเรียนกรณีที่ขนแร่ดีบุกจากเหมืองในตำบลถ้ำทะลุ เมืองยะลามายังเมืองตานี ต้องผ่านด่านภาษีของเมืองยะลา เมืองหนองจิก และเมืองตานีถึง ๓ เมืองด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่เมืองหนองจิกเป็นแค่ทางผ่านที่ลำน้ำตานีคดเคี้ยววกเข้าไปเท่านั้น ต่อมาตนกูสุไลมานฯ จึงได้เกณฑ์ผู้คนขุดคลองลัดแม่น้ำตานีจากบ้านปรีกีไปยังบ้านอาเนาะบูลูดเป็นระยะทางประมาณ ๗ กิโลเมตร เรียกว่าคลองสุไหงบารู ต่อมาคลองถูกกระแสน้ำพัดทำให้มีขนาดกว้างขึ้นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำตานี ส่วนแม่น้ำตานีตอนที่ไหลเข้าเขตเมืองหนองจิกก็ตื้นเขินไปในที่สุด ทำให้แม่น้ำตานีไหลตรง ไม่คดเคี้ยวเข้าเขตเมืองหนองจิกจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ในบริเวณกือดาจีนอหรือตลาดจีนยังมีสถานที่สำคัญอีกแห่ง คือวังอุปราชเมืองตานี พระยาพิทักษ์ธรรมสุนทร (ตนกูเดร์) ซึ่งตั้งอยู่ในย่านกือดาจีนอหรือถิ่นของชาวจีน พระยาพิทักษ์ธรรมสุนทรนี้เมื่อครั้งที่พระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังษารัตนาเขตรประเทศราช (ตนกูอับดุลกาเดร์ กามารุดดิน) เจ้าเมืองตานีสมัยนั้นถูกจับข้อหากบฏและถูกนำไปคุมขังที่เมืองพิษณุโลก ท่านได้รักษาการในตำแหน่งเจ้าเมืองตานี ต่อมาเมื่อท่านถึงแก่กรรมทายาทได้ขายวังให้หลวงวิชิตศุลกากร (จูอิ้น คณานุรักษ์) น้องชายคนสุดท้องของคุณพระจีนคณานุรักษ์ ซึ่งท่านได้เรี่ยรายเงินจากชาวจีนจัดตั้งเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนขึ้น ปัจจุบันคือบริเวณโรงเรียนจ้องฮั้ว เพราะในสมัยก่อนนั้นบุตรหลานชาวจีนจะทำการเรียนหนังสือจีนกับซินแสที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งมีสถานที่คับแคบ
หัวตลาด หรือตลาดจีนจึงได้ชื่อว่าเป็นชุมชนจีนเก่าแก่ของเมืองปัตตานีมีอายุไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ ปี เป็นจุดกำเนิดของตระกูลสำคัญเชื้อสายจีนหลายตระกูล เช่น ตันธนวัฒน์ คณานุรักษ์ วัฒนายากร เลขะกุล โกวิทยา วิเศษสุวรรณภูมิ วัฒนานิกร ซึ่งล้วนแล้วแต่มีบทบาทในวงการการเมืองท้องถิ่น และธุรกิจพื้นฐานที่สำคัญของปัตตานีมาก่อนไม่ว่าจะเป็นกิจการเหมืองแร่ดีบุก โรงไฟฟ้า โรงน้ำแข็ง โรงสีข้าว ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ
มาถึงยุคปัจจุบันชุมชนหัวตลาดยังมีโอกาสได้รับเสด็จครั้งสำคัญอีกหลายครั้งด้วยกัน คือ
วันพุธที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงไปยังศาลเจ้าเล่งจูเกียงเป็นครั้งแรก ได้ทอดพระเนตรและทรงพระสุหร่ายพระหมอเฉ่งจุ้ยโจวซูก๋อง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และองค์พระต่าง ๆ ในศาลเจ้า จากนั้นทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลา เป็นที่ปลื้มปีติแก่ประชาชนในชุมชนหัวตลาดเป็นยิ่งนัก ในการนี้มีบรรดาผู้มีจิตศรัทธาเฝ้าแทบเบื้องพระยุคลบาททูลเกล้าฯถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย
วันพุธที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ไปยังศาลเจ้าเล่งจูเกียง ในช่วงเวลาเย็นซึ่งศาลเจ้าปิดแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้นายสมพร วัฒนายากร ผู้จัดการศาลเจ้า เป็นยิ่งนัก มีการประกาศให้ประชาชนที่พักอาศัยบริเวณถนนอาเนาะรูออกไปเฝ้ารับเสด็จที่หน้าศาลเจ้า
อีกครั้งที่ประทับใจประชาชนมากคือเมื่อวันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ เวลา ๑๕.๐๗ น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เมื่อครั้งยังทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ไปยังศาลเจ้าเล่งจูเกียง เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงแล้วเสด็จเข้าศาลเจ้าเล่งจูเกียง ทรงจุดธูปเทียนสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จากนั้นพระราชทานกระถางธูปแก่นายสมพร วัฒนายากร ประธานมูลนิธิเทพปูชนียสถาน จากนั้นมีพระราชดำริที่จะเสด็จประพาสถนนอาเนาะรูเหมือนเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสตลาดจีน จึงเสด็จออกจากศาลเจ้าเล่งจูเกียง ทรงพระดำเนินเยี่ยมราษฎรและทอดพระเนตรอาคารสมัยโบราณตามถนนอาเนาะรู บริเวณชุมชนหัวตลาด ซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ของจังหวัดปัตตานีไปจนถึงสุดปลายถนนที่ริมแม่น้ำปัตตานี ในการนี้ได้เสด็จไปทอดพระเนตรภายในบ้านกงสี เลขที่ ๒๗ ซึ่งเป็นบ้านของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง (ตันเตียงสิ่น) ต้นตระกูลคณานุรักษ์ผู้ที่บูรณะศาลเจ้าเล่งจูเกียงเมื่อปี พ.ศ.๒ ๔๐๗ และทอดพระเนตรภายในบ้านเลขที่ ๑๙ ซึ่งเป็นบ้านของนายสมพร วัฒนายากร ประธานมูลนิธิเทพปูชนียสถาน และผู้จัดการศาลเจ้าเล่งจูเกียง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นสิริมงคลต่อชาวชุมชนหัวตลาด บรรดาทายาทหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง และครอบครัวนายสมพร วัฒนายากร เป็นยิ่งนัก
ขอย้อนกลับไปเล่าถึงที่มาของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในสมัยราชินีบีรูเป็นผู้ครองเมืองตานีได้มีการกล่าวถึงการหล่อปืนใหญ่ทองเหลือง ๓ กระบอก คือ พญาตานี ศรีนครี และมหาลาลอ โดยช่างชาวจีนที่เข้ารีตเป็นมุสลิมชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยม ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้เก็บภาษีเข้าออกที่ท่าเรือปากอ่าวเมืองตานี เอกสารบางฉบับว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมเป็นเชื้อพระวงศ์ของจีนที่มีปัญหาทางการเมืองหลบหนีมา บางฉบับก็ว่าเป็นหัวหน้าโจรสลัดใหญ่ของทะเลจีนใต้ แต่ที่มีหลักฐานชัดเจนคือลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้ภรรยาเป็นชาวปัตตานีและเข้ารีตเป็นมุสลิมตามภรรยา
ทางเมืองจีนมารดาของลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้ทราบข่าวว่าลูกชายเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม และแต่งงานอยู่ที่เมืองตานีไม่ยอมกลับเมืองจีนก็มีความเสียใจเป็นอันมากจึงได้ส่งธิดาคือ ลิ้มกอเหนี่ยว และน้องสาวเดินทางไปยังเมืองตานีเพื่อตามให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมกลับไปเมืองจีน เมื่อเดินทางมาถึงเมืองตานีพบว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมมีความสุขกับภรรยา ไม่ยอมกลับไปพบมารดาที่เมืองจีน จึงได้พำนักอยู่ที่เมืองตานีเพื่อจะเกลี้ยกล่อมให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเห็นแก่มารดาที่เมืองจีน ในขณะนั้นเจ้าเมืองตานีกำลังก่อสร้างมัสยิดเพื่อใช้ประกอบศาสนกิจ โดยมอบให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเป็นนายช่างออกแบบและก่อสร้าง ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้อุทิศกายและใจให้กับงานที่ได้รับมอบหมาย ยิ่งทำให้ลิ้มกอเหนี่ยวเกิดความโกรธและน้อยใจในตัวพี่ชาย พยายามอ้อนวานพี่ชายให้เห็นแก่มารดาก็ไม่สำเร็จ จึงได้แอบไปผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ด้านข้างมัสยิดที่กำลังก่อสร้าง ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเมื่อเห็นน้องสาวตายก็ได้ทำการฝังศพไว้ที่ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์นั้น
ต่อมาชาวเมืองตานี นับถือในความซื่อสัตย์รักแผ่นดินเกิดของลิ้มกอเหนี่ยว ก็พากันมากราบไหว้ บนบานศาลกล่าวขอความช่วยเหลือต่าง ๆ นานา ซึ่งก็สัมฤทธิ์ผลตามที่ขอ ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของลิ้มกอเหนี่ยวระบือไปทั่ว จนกล่าวขานเรียกกันว่า “เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” เป็นที่นับถือของชาวเมืองตานีตราบจนทุกวันนี้
ตามที่ได้เล่ามาแล้วในเบื้องต้นว่าศาลเจ้าแม่ว่า สร้างในสมัยราชวงศ์เหม็ง ศักราชบ้วนเละปีที่ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๑๗ สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา เดิมทีเรียกว่า “ศาลปุนเถ้ากง” โดยทั่วไป ศาลปุนเถ้ากงหมายถึงศาลเจ้าประจำชุมชน หรือตลาดของชาวจีน ศาลปุนเถ้ากงไม่ได้มีเทพเจ้าเฉพาะเจาะจง ดังนั้นจะพบว่าศาลปุนเถ้ากงแต่ละแห่งมีเทพเจ้าประจำศาลเจ้าต่างกัน ไม่มีหลักฐานว่าศาลปุนเถ้ากงที่ปัตตานีในสมัยนั้นมีเทพเจ้าองค์ใดประจำศาลเจ้ามาก่อน จนกระทั่งเมื่อคุณพระจีนคณานุรักษ์ได้อัญเชิญพระหมอ หรือโจ๊วซูกง มาเป็นเทพประจำศาลเจ้า ก็เลยเรียกว่า ศาลเจ้าซูก๋ง หรือศาลโจ๊วซูกง และมาเรียกว่าศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในภายหลังจนกระทั่งทุกวันนี้ จากบันทึกของนายอนันต์ คณานุรักษ์เล่าว่าบรรพบุรุษของตระกูลคณานุรักษ์ คือ หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง (เตียงซิ่น หรือปุ่ย แซ่ตัน) ได้ริเริ่มบูรณะศาลเจ้าแม่ เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๗
มูลเหตุที่ได้มีการอัญเชิญพระหมอหรือโจ๊วซูกง มาประดิษฐานในศาลเจ้าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เนื่องจากมีชาวบ้านไปพบขอนไม้สีดำลอยมาติดอยู่ที่คลองอาเนาะซูงา บริเวณสะพานปิติหรือสะพานบั่นเฉ้ง ถนนปัตตานีภิรมย์ในปัจจุบัน จึงใช้มีดขอสับขึ้นมาเพื่อนำไปเป็นไม้ฟืน ปรากฏว่ามีน้ำสีแดงคล้ายเลือดไหลมาจากท่อนไม้นั้น องค์โจ๊วซูกงได้ประทับทรงชาวบ้านผู้นั้น แล้วอุ้มท่อนไม้นั้นขึ้นมาจากคลอง คุณพระจีนคณานุรักษ์จึงรีบมาดูพบว่าท่อนไม้นั้นอันที่จริงแล้วเป็นไม้แกะสลักเป็นองค์พระขนาดใหญ่ จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ศาลเจ้าปุนเถ้ากง ที่กือดาจีนอ เป็นองค์ประธานของศาลเจ้า ชาวบ้านจึงเรียกศาลเจ้าปุนเถ้ากงว่า “ศาลโจ๊วซูกง” เป็นที่เคารพสักการะของชาวจีนในเมืองตานี
ต่อมาคุณพระจีนคณานุรักษ์ซึ่งเป็นกัปตันจีนหรือนายอำเภอจีนในสมัยนั้นได้ป่วยเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งรักษาอย่างไรก็ไม่หาย จึงได้ไปไหว้พระโจ๊วซูกงหรือพระหมอซึ่งเป็นพระประธานในศาลเจ้าปุนเถ้ากง ศาลเจ้าประจำท้องถิ่นตลาดจีนเมืองตานี พระโจ๊วซูกงได้ประทับร่างทรงแล้วสั่งให้หลวงจีนคณานุรักษ์ไปกราบไหว้ขอเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ตำบลกรือเซะให้ช่วยรักษา ร่างทรงของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวได้ขอให้หลวงจีนคณานุรักษ์อัญเชิญวิญญาณของท่านไปประทับที่ศาลเจ้าปุนเถ้ากง หลังจากที่หายจากโรคผิวหนัง หลวงจีนคณานุรักษ์ได้ลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ปรากฏว่าท่านกลับมาเป็นโรคเดิมอีก ท่านจึงนึกขึ้นได้ รีบไปกราบไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แล้วให้ช่างแกะสลักไม้มะม่วงหิมพานต์ที่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายเป็นรูปเจ้าแม่แล้วอัญเชิญไปประทับที่ศาลเจ้าปุนเถ้ากง และเปลี่ยนชื่อเป็น “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” มาจนปัจจุบันนี้
คำถามที่น่าสนใจคือมีการอัญเชิญพระหมอกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐานที่โรงพระหรือศาลเจ้าเล่งจูเกียงตั้งแต่สมัยไหน ผู้เขียนก็ใช้การคาดเดาล้วน ๆ แต่เป็นการคาดเดาบนพื้นฐานของความน่าจะเป็นจากเอกสารหลักฐานเท่าที่หาได้ โดยเริ่มจากหนังสือชีวิวัฒน์ ซึ่งเป็นบันทึกการเดินทางไปหัวเมืองปักษ์ใต้ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ทรงเอ่ยถึงศาลเทพารักษ์ที่เป็นเก๋งจีนขนาดใหญ่ในท้องตลาดจีน เรียกว่า ศาลปุนเถ้าก๋ง พอถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสตลาดจีนมีการเอ่ยถึง ศาลเจ้าซูก๋อง ซึ่งคำว่า ซูก๋อง ก็น่าจะมาจากชื่อของพระเช็งจุ้ยโจวซูก๋องแสดงว่าในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ นั้นมีการอัญเชิญพระหมอมาประดิษฐานที่โรงพระแล้ว แต่จะเป็นปีไหนคาดจะเดา อาจจะเป็นช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ หรืออาจจะเป็นก่อน พ.ศ. ๒๔๒๗ ก็ได้
แล้วคราวนี้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวถูกอัญเชิญมาในปีไหน ตามเรื่องราวที่บอกเล่าต่อกันมาของตระกูลคณานุรักษ์ พระจีนคณานุรักษ์ได้ไปไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่บ่องหรือฮวงซุ้ยกรือเซะขอให้หายป่วยตามคำบอกของร่างทรงพระหมอ หลังจากนั้นจึงให้ช่างแกะสลักองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและอัญเชิญมาประดิษฐานที่โรงพระ ดังนั้นเหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการอัญเชิญพระหมอมาประดิษฐานที่โรงพระแล้ว ส่วนจะเป็นปี พ.ศ.ใดก็ยากจะเดา
มีบันทึกของก๋งเจ้ง นายขเจน เลขะกุล ซึ่งเกิด พ.ศ. ๒๔๓๒ ท่านบอกว่าบิดาของท่านคือหลวงศุภไสยสโมทาน (เล่บ๊อกล่อง) ตอนเด็ก ๆ เรียนหนังสือจีนกับซินแสตันเสี้ยนที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และบันทึกของปู่อนันต์ คณานุรักษ์ก็บอกว่าตอนเด็ก ๆ เรียนหนังสือจีนที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แต่บันทึกของทั้ง ๒ ท่านนั้นเขียนตอนที่ท่านอายุมากแล้ว ท่านอาจจะเรียกชื่อตามยุคสมัยที่จดบันทึก
ผู้เขียนเคยถามลุงมานพ คณานุรักษ์ พี่ชายคนโตของพ่อซึ่งเกิดวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ลุงนพบอกว่าจำความได้ก็มีแม่กอเหนี่ยวแล้ว แสดงว่าพระจีนคณานุรักษ์อัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐานที่โรงพระก่อน พ.ศ.๒๔๕๙
ทุกวันที่ ๑๕ เดือนอ้าย ตามปฏิทินจันทรคติของจีน จะมีการสมโภชพระหมอโจ๊วซูกง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและองค์พระต่าง ๆ มีการอัญเชิญองค์พระประทับบนเกี้ยวแล้วแห่รอบเมืองปัตตานี มีพิธีลุยน้ำและลุยไฟ การแห่สมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะแห่ไปยังย่านตำบลจะบังติกอ ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวไทยมุสลิม ทั้งนี้เนื่องจากการอัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและองค์เทพเจ้าทั้งหลายออกแห่สมโภช ก็เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลต่อชาวจีนในเมืองตานี เส้นทางการแห่สมโภชจึงไปตามเส้นทางเศรษฐกิจของเมืองตานีในสมัยก่อน คือจากศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเลียบไปตามริมแม่น้ำตานี จนกระทั่งถึงท่ากาแลกูดอซึ่งเป็นท่าภาษีเมืองตานี ปัจจุบันคือบริเวณเชิงสะพานเฉลิมพระเกียรติ แล้วแห่ผ่านไปทางวังจะบังติกอ กลับเข้าสู่ย่านกือดาจีนอ
สำหรับพิธีลุยน้ำนั้นมีผู้เข้าใจผิดคิดว่าองค์พระแสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำได้ อันที่จริงผู้ที่จะหามเกี้ยวลงลุยน้ำนั้นจะต้องว่ายน้ำเป็น มิฉะนั้นจะจม เพราะเกี้ยวองค์พระแต่ละองค์จะหนักมาก พิธีลุยน้ำมิได้มีเพื่อแสดงอภินิหาร แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการปัดรังควาน ทำให้เกิดสิริมงคลต่อแม่น้ำปัตตานี ซึ่งเปรียบเสมือนหลอดเลือดใหญ่ของเมืองปัตตานี เพราะเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้า มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของเมืองปัตตานีในสมัยอดีตเป็นอันมากดังได้กล่าวมาแล้ว ที่สำคัญเชื่อกันว่าแม่น้ำปัตตานีในอดีตมีอาถรรพ์ ใครที่ข้ามแม่น้ำมาจากฝั่งตะวันตกถ้าไม่ไหว้ขอขมาแม่น้ำก่อนมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ จึงมีการอัญเชิญเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวลุยน้ำเพื่อเป็นการล้างอาถรรพ์ดังกล่าวด้วย
สำหรับพิธีลุยไฟ ซึ่งเป็นพิธีที่สำคัญที่สุด เป็นการลุยไฟเพื่อทำลายอาถรรพ์สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย และเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้ผู้หามเกี้ยวลุยไฟ และเป็นสิริมงคลแก่เมืองตานี หลังจากองค์พระหมอทำการปักหลักเขตกองไฟแล้ว เมื่อถึงฤกษ์ก่อกองไฟ ผู้ทำพิธีจะจุดเชื้อไฟจากภายในศาลเจ้าฯ แล้วมาก่อกองไฟตรง ตำแหน่งหลักไฟ กองไฟจะมีขนาดกว้างยาวประมาณ ๕ เมตร สูงประมาณครึ่งเมตร ครั้นได้ฤกษ์ลุยไฟขบวนองค์พระทั้งหมดจะเดินเวียนรอบกองไฟทวนเข็มนาฬิกา ๓ รอบ แล้วออกไปรดน้ำมนต์ที่เตรียมไว้หน้าประตูศาลเจ้าฯ แล้วจึงลุยไฟ ขบวนลุยไฟจะเริ่มจากผู้อัญเชิญฟันปลาฉนากศักดิ์สิทธิ์ ติดตามด้วยผู้อัญเชิญหีบบรรจุหลักไม้ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจึงเป็นขบวนองค์พระ ซึ่งมักจะเริ่มด้วยองค์พระหมอ สำหรับองค์เจ้าแม่นั้นจะมีงิ้วและมโนราห์เดินเกาะเกี้ยวเข้าลุยไฟด้วย ต่อจากขบวนองค์พระก็จะเป็นขบวนสิงโต จากนั้นขบวนทั้งหมดก็ลุยไฟกลับตามลำดับ อีกนับเป็น ๑ รอบ ในระหว่างลุยไฟจะมีการเกลี่ยถ่านในกองไฟให้เรียบอยู่ในระดับตลอดเวลา และจะใส่ใบมะพร้าวเพื่อให้มีเปลวไฟสวยงาม เจ้าหน้าที่จะซัดเกลือและข้าวสารเข้าไปในกองไฟ เป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นการปัดรังควาน ปกติแล้วการลุยไฟจะลุยกันประมาณ ๕ รอบ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี ผู้ที่หามเกี้ยวเป็นชุดสุดท้ายก็จะอัญเชิญองค์พระกลับเข้าภายในศาลเจ้าฯ จากนั้นก็จะอัญเชิญองค์พระขึ้นจากเกี้ยวกลับไปประดิษฐานยังแท่นบูชา
ในอดีตนอกจากการลุยน้ำลุยไฟแล้วยังมีการประทับทรงไต่บันไดดาบ แต่เลิกพิธีไต่บันไดดาบไปตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ คงเหลือแต่พิธีลุยน้ำลุยไฟ
ส่วนการลุยไฟนั้นก็มีผู้สงสัยกันมากว่าร้อนหรือไม่ ผู้เขียนขอเล่าประสบการณ์ที่ได้ลุยไฟมาทั้งหมด ๒๐ กว่าครั้ง ว่าเมื่อเหยียบไปบนกองไฟนั้นจะรู้สึกเหมือนเดินเท้าเปล่าบนพื้นทราย กลางแดดตอนเที่ยง คือจะร้อนพอทนได้ ถึงแม้จะเดินช้า ๆ ก็ไม่พอง แต่มีบางปีที่พอเหยียบลงไป จะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมา เท้าจะพอง ที่น่าประหลาดก็คือ ผู้ที่หามเกี้ยวเข้าลุยไฟพร้อมกัน ๔ คน บางคนก็พอง บางคนก็ไม่พอง และประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๕ หรือ ๒๕๑๖ ได้มีผู้เดินลุยไฟเข้าไปคนเดียว และนั่งคุกเข่าลงกราบในกองไฟ ปรากฏว่าไม่ได้รับอันตรายจากเปลวไฟในกองไฟเลย ผู้เขียนเองซึ่งเป็นแพทย์ก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายในเรื่องนี้ ก็ต้องยกให้เป็นความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระต่าง ๆ ที่เรานับถือติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน
คุณปู่อนันต์ คณานุรักษ์ ได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ร่างทรงประจำศาลเจ้าฯซึ่ง เป็นคนจีนอยู่ที่อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา บอกว่าเวลาทำพิธีเข้าทรงในงานแห่พระฯ เหนื่อยมาก ร่างกายทนไม่ไหวขอหยุดไม่มาทำพิธีให้ แต่ปรากฏว่าเมื่อใกล้ถึงวันงาน ร่างทรงคนนี้ทั้งวิ่ง ทั้งเดิน ทั้งนั่งรถจากอำเภอบันนังสตา ยะลา ไปที่ศาลเจ้าฯโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเดินทางเพียง ๑ วัน ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นการเดินทางจากบันนังสตาไปยะลา และจากยะลาไปปัตตานีถ้าไปโดยรถโดยสารจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๒ วัน เป็นที่น่าประหลาดมาก
ผู้เขียนหวังว่าบทความของผู้เขียนคงจะทำให้ผู้อ่านได้รับทราบเรื่องราวของศาลเจ้าแม่ฯ และหัวตลาดในอีกแง่มุมพอสมควร
นายแพทย์ปานเทพ คณานุรักษ์
บรรณานุกรม
ขเจน เลขะกุล. ประวัติต้นตระกูล “เลขะกุล” และชีวะจารึกของนายขเจน เลขะกุล. ยะลา, ๒๔๙๒.
เคี่ยม สังสิทธิเสถียร. ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. หนังสือที่ระลึกงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี, มปป.
จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ.๑๐๗ และ ๑๐๘. หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายสนิท สุมาวงศ์. กรุงเทพมหานคร: หจก.กราฟฟิคอาร์ต, ๒๕๑๘.
จุรีรัตน์ บัวแก้ว. การสำรวจโบราณสถานเบื้องต้นเมืองปัตตานี : ศึกษาเฉพาะกรณีวังจะบังติกอ. ปัตตานี:มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ๒๕๓๑.
เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์ ณ สงขลา). พงศาวดารเมืองสงขลา. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๓, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๓.
นที ศรีตานี. ศิลาจารึกภาษาจีนร่วมสมัยกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว. หนังสือที่ระลึกงานสมโภชเจ้าแม่ ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี, มปป.
ประเวศ คณานุรักษ์. สัมภาษณ์
พรรณงาม เง่าธรรมสาร. การปกครองหัวเมืองภาคใต้ทั้ง ๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๒.
พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา). พงศาวดารเมืองปัตตานี. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗.
พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา). พงศาวดารเมืองสงขลา. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗.
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. กรุงเทพมหานคร: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๔๒.
พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร. สำเภาสยาม ตำนานเจ๊กบางกอก. กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คส์, ๒๕๔๔.
มัลลิกา คณานุรักษ์. เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานี และผู้สร้างศาลเจ้า. รวมเรื่องน่ารู้ : ภาคใต้. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๐.
เยเรเมียส ฟอน ฟลีต. จดหมายเหตุวันวลิต (Historical Accountvof Siam In The Seventeenth Century). ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๙, นันทา สุตกุล แปล. กรุงเทพมหานคร: สำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๐๗.
วิชิต คณานุรักษ์. บันทึกประวัติของนายวิชิต คณานุรักษ์.
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช. ชีวิวัฒน์. กรุงเทพมหานคร: องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๔.
สว่าง เลิศฤทธิ์. มัสยิดกรือเซะและลิ่มโต๊ะเคี่ยม. วารสารรูสมิแล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๒ มกราคม-เมษายน ๒๕๓๔, หน้า ๔๒-๔๕
สืบ จิตรภักดี. หนังสือที่ระลึกพิธีเปิดศาลากลางจังหวัดปัตตานี ๒๔ กันยายน ๒๕๐๘. มปท., ๒๕๐๘.
สืบแสง พรหมบุญ. ความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการระหว่างจีนกับไทย ค.ศ.๑๒๘๒-๑๘๕๓ (Sino-Siamese Tributary Relation 1282-1853). กาญจนี ละอองศรี แปล. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๒๕.
สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และคณะ. จีนทักษิณ วิถีและพลัง. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๔.
เสฐียรโกเศศ. ไทย-จีน. กรุงเทพมหานคร: บรรณาคาร, ๒๕๑๕
หลวงอุดมสมบัติ. จดหมายหลวงอุดมสมบัติ. กรุงเทพมหานคร: กรมศิลปากร, ๒๕๓๐.
อนันต์ คณานุรักษ์. บันทึกประวัติของนายอนันต์ คณานุรักษ์.
อนันต์ วัฒนานิกร. แลหลังเมืองตานี. ปัตตานี: ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ๒๕๒๘.
อนันต์ วัฒนานิกร. ประวัติเมืองลังกาสุกะ เมืองปัตตานี. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มิตรสยาม, ๒๕๓๑.
อิบรอฮิม ซุกรี. ตำนานเมืองปัตตานี (Sejarah Kerayaan Melayu Pattani). หะสัน หมัดหมาน แปล, ปัตตานี: ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, ๒๕๒๕.
G.W. Skinner. สังคมจีนในประเทศไทย : ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ (Chinese Society in Thailand : An Analytical History). ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะ แปล. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๒๙.
W.Cameron. (1883, June). On the Patani. Journal of the Straits Branch of the Royal Asiatic Society. No.11, pp. 123-142.
(หมายเหตุ เป็นบทความที่ผู้เขียนเขียนประกอบ e-book เสน่ห์แห่งศรัทธา วิถีประชาจีนปัตตานี https://anyflip.com/amwpc/ybkk?fbclid=IwAR3Wu_g9AsXbWWjZgMjNjPH4CpgRW41Y9fMEWZQJ3wVy2NHO4ZKIfBwNybs )



ความคิดเห็น