คำให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๘๕ บ้านนอกเข้ากรุงครั้งแรก
- drpanthep
- 29 ม.ค. 2566
- ยาว 1 นาที
ผมเป็นเด็กปัตตานี สมัยนั้นการเดินทางเข้า กทม.นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๙ พ่อกับแม่พาน้องชาย ๒ คนเข้า กทม.ตรงกับช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ ๕ พอดี แต่ผมอดไปเพราะติดเรียนหนังสือชั้น ป.๑ ที่โรงเรียนยุวชิตวิทยา ถ้าเป็นคนอื่นคงได้โดดเรียนไปแล้ว แต่บ้านผมเรื่องเรียนนี่เรื่องใหญ่ พ่อเลยฝากผมไว้กับลุงนพ อามวล พี่ชายคนโตของพ่อ ไปโรงเรียนตอนเย็นกลับมาบ้านตึกขาวของปู่ ทำการบ้านกินข้าว พอค่ำอามวลก็มารับกลับไปบ้านไปนอนกับลุงนพอามวลทุกคืน
ผมมีโอกาสได้เข้า กทม.ครั้งแรกก็ปี พ.ศ.๒๕๑๒ หลังจากที่สอบไล่ ป.๔ เสร็จแล้ว และไปสอบเข้าชั้น ป.๕ ที่โรงเรียนบ้านสะบารังได้แล้ว นั่งรถไฟไปกับแม่ ๒ คน จำได้ว่าวันที่เดินทางที่สถานีโคกโพธิ์มีคนเยอะมากเพราะเป็นขบวนที่มีทหารจากค่ายอิงคยุทธบริหาร บ่อทอง หลายนายเดินทางรบในสงครามเวียดนาม จากการแอบฟังเขาคุยกันจึงรู้ว่าทหารเหล่านั้นต้องไปเข้ารับการฝึกที่กาญจนบุรีก่อน มีคนที่นั่งไปด้วยในวันนั้นคืออาใจ ไทยทอง ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกับพ่อไปที่บ้านบ่อย
ไป กทม.ครั้งแรกนี้ผมไปพักที่บ้านตั่วอี๊ พี่สาวของแม่ที่ซอยเทวีวรญาติ สวนมะลิ ใกล้ รพ.กลาง ไปพักที่นั่นต้องพยายามหัดพูดหัดฟังแต้จิ๋วเพราะอาม่าสวนมะลิพูดไทยไม่ได้ ที่ร้ายคืออาม่าชอบชวนผมคุยมาก อาปานลื้อโน่นนี่นั่น ไอ้ผมก็ฟังไม่ออกสักคำ เพราะตอนที่อยู่ตานีอาม่ากินหมากพูดไทยชับเปรี๊ยะ จะพูดจีนกับแม่ตอนด่าพ่อหรือพวกเราเท่านั้น จำได้ว่าคำแรกที่พี่ ๆ สอนคือตื่นเช้ามาต้องเรียกอาม่าเจี๊ยะม้วย คือกินข้าวต้มเพราะที่บ้านนั้นเขากินข้าวต้มกุ๊ยเป็นอาหารมื้อเช้าทุกวัน
เสียดายที่ไป กทม.ครั้งแรกของผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย เพราะไม่มีใครมีกล้องถ่ายรูป อยู่ที่สวนมะลิเด็กบ้านนอกอย่างผมติดใจของกิน ๒-๓ อย่างคือขนมบ้าบิ่นที่เขาจี่บนกระทะแผ่นเหล็กแบน ๆ กับไอสครีมซึ่งที่ตานีไม่มีให้กินคือไอสครีมตักใส่โคนหรือใส่ขนมปังแต่เป็นรสช็อคโกแลต กับไอสครีมป๊อบซึ่งเป็นไอสครีมแท่งสี่เหลี่ยมแบนรสวานิลลาหุ้มด้วยน้ำแข็งรสชอคโกแลต ต้นตำรับของไอสครีมบิ๊กดิ๊บของโฟร์โมสท์หรือแม็กนั่มของวอลล์
สมัยนั้นรถรายังไม่คับคั่งไปไหนนั่งรถเมล์ไปสะดวกดีรถไม่ติด อี๊บิน้องสาวแม่ยังไม่ได้ย้ายไปปักหลักที่ประเทศแคนาดา เลยได้อี๊บิเป็นคนพาเที่ยว เท่าที่จำได้ก็ไปตรอกสลักหิน หัวลำโพง เยี่ยมเยียนป้าง๊อและยายเพื่อนบ้านผู้ใจดีในวัยเด็กของแม่ ไปเยี่ยมป้าอองพี่สาวพ่อที่บ้านบางโพธิ์จำได้ว่าเดินเข้าซอยไปบ้านป้าอองอยู่ใกล้โรงน้ำแข็ง
ช่วงที่ไปเป็นช่วงสงกรานต์พอดี ข้างบ้านตั่วอี๊เป็นเจ้าของแป้งน้ำโกรินเขามีเชื้อสายมอญปากเกร็ดอะไรทำนองนั้น เขาพาไปทำบุญเล่นสงกรานต์ที่วัดแถวปากเกร็ด ผมจำไม่ได้แล้วว่าวัดอะไร จำได้แค่ว่านั่งรถตู้จากสวนมะลิไปไกลมาก ได้เห็นคนไทยเชื้อสายมอญแต่งตัวสีสรรหลากหลายมาทำบุญมาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เราเรียกเจ้าอาวาสวัดนั้นว่าหลวงน้าเพราะท่านเป็นน้าชายของเจ้าของแป้งน้ำโกริน
อีกเรื่องที่เป็นของแปลกสำหรับเด็กบ้านนอกคือการไปดูหนังที่วิกติดแอร์ แม่พาไปดูหนังจีนกำลังภายในของชอว์บราเดอร์เรื่องพยัคฆ์เหิน ที่มีเฉินหงเลี๊ยะกับตี้หลุงเป็นตัวเอกที่วิกคิงส์ วังบูรพา ตื่นเต้นมากเพราะติดแอร์เย็นสบายไม่เหมือนวิกคิงส์ ปัตตานีที่เป็นพัดลม ดูหนังเสร็จแม่กับอี๊บิพาเดินจากวังบูรพาทะลุไปตลาดปีระกา เวิ้งนครเขษม ไปนั่งร้านกาแฟ เจ้าของร้านจำแม่ได้ว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กเลยมานั่งคุยกัน นอกจากดูหนังยังได้ไปเดินเที่ยวห้างเซ็นทรัลวังบูรพาหลายครั้ง
ไป กทม.ครั้งแรกนี่มีเรื่องตื่นเต้น และมีเรื่องน่าอับอาย เรื่องตื่นเต้นคือเจ้าของแป้งน้ำโกรินชวนไปเที่ยวพระแท่นดงรัง กาญจนบุรี ไปถึงก็เดินขึ้นบันไดไปสักการะพระแท่น ขากลับผมดันวิ่งไปพร้อมกับนับขั้นบันได บันไดแต่ละขั้นมีความกว้างประมาณ ๒ ก้าวสำหรับเด็ก แต่ผมดันวิ่งขั้นละ ๑ ก้าว ลงมาได้ครึ่งทางผมก็เสียหลักหกล้มกลิ้งลงไปถึงชั้นล่าง ด้วยความหวาดเสียวของบรรดาผู้ที่พบเห็น แต่ปรากฏว่าผมมีแค่รอยถลอกที่ข้อศอกกับหัวเข่า ไม่มีบาดเจ็บส่วนอื่น ตอนนั้นแขวนพระหลวงพ่อทวดฯ รุ่นหลังเตารีดพิมพ์เล็กที่ปู่เลี่ยมเงินแจกหลานชาย ๓ คน
ส่วนเรื่องที่น่าอับอายก็เกี่ยวข้องกับไอสครีมรสช็อคโกแลตที่กินมันทุกวัน บางวัน ๒ ถ้วย วันหนึ่งอาเตี๋ย สามีตั่วอี๊พาแม่ อี๊บิ ผม แล้วก็หมวยลูกตั่วอี๊นั่งรถเมล์ไปดูการแสดงสเก็ตน้ำแข็งที่สนามศุภชลาศัย เป็นของแปลก นักสเก็ตแต่งตัวเป็นตัวการ์ตูน เป็นชุดต่าง ๆ แต่ไอสครีมมันทำพิษผมดันท้องเสีย ต้องไปเข้าห้องส้วมตลอด เลยได้ดูไม่ต่อเนื่อง โดนแม่ด่ายกใหญ่เพราะแม่พลอยอดดูไปด้วย
การไป กทม.ครั้งแรกของผมทำให้ผมพลาดเหตุการณ์สำคัญที่ปัตตานีไป ๑ เรื่องนั่นคืองานศพย่ากี หรือทวดตันกุ้ยกีที่บวชเป็นชีพักอาศัยที่บ้านกงสี บ้านต้นตระกูลคณานุรักษ์ ผมเป็นเหลนที่ไปคลุกคลีในห้องย่ากีเป็นประจำ ย่ากีถึงแก่กรรมวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๒ ในตอนที่ผมอยู่ กทม.พอดี กลับไปปัตตานีถึงได้รู้ว่าย่ากีจากไปแล้ว
นี่ก็เป็นความทรงจำเก่า ๆ ของเด็กบ้านนอกที่เข้า กทม.เป็นครั้งแรกเมื่อ ๕๒ ปีที่แล้ว
บันทึกวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๔



ความคิดเห็น