คำให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๙๕ ๑๕ ปีใน สปสช.
- drpanthep
- 15 ต.ค. 2566
- ยาว 2 นาที

เผลอแป๊บเดียวผมก็จะเกษียณจาก สปสช.แล้ว มีผู้บริหารคนหนึ่งโทร.ถามผมว่าผมมีผลงานอะไรที่ประทับใจในการทำงานที่ สปสช.บ้าง ผมตอบไปแบบไม่ต้องคิดว่า ผมไม่มีผลงานอะไรที่ภาคภูมิใจเลย ผมเป็น negativist ที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่เคยคิดว่าโลกนี้ช่างสวยงามเหมือนพวก activist คำจำกัดความของผลงานที่ภาคภูมิใจของผมจึงต่างจากคนอื่น ผมมองว่าผลงานที่ควรภาคภูมิใจ ต้องเป็นเรื่องราวที่ส่งผลกระทบในด้านดีต่อประชาชน และมันดีจริงจนมีความจีรังยั่งยืนที่ต้องปฏิบัติต่อกันมา แต่เมื่อย้อนมองอดีตของผม มันไม่เหลืองานอะไรที่เคยผ่านมือผม ไม่ว่าจะเป็นงานโรคเฉพาะ งานกองทุนตติยภูมิ งานคุณภาพบริการของหน่วยบริการทุติยภูมิตติยภูมิ งานเครือข่ายระบบบริการโรคที่มีอัตราตายสูง ผมจึงมิกล้านับว่างานดังกล่าวเป็นงานที่ภาคภูมิใจของผมและทีมงาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำเพราะผมมี conflict of interest เนื่องจากครอบครัวผมพ่อ แม่ ลูกเมีย เป็น UC ทุกคน ผ่านการใช้สิทธิทั้งด้านบวกและลบมาเยอะมาก หากทำได้ดีสักวันถ้าครอบครัวผมต้องใช้บริการ ก็จะได้รับบริการที่ดี
มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งโทร.คุยกับผมบอกว่าในฐานะที่ผมทำงาน สปสช.เป็นเวลานานพอสมควร อยากจะให้เล่าอะไรเกี่ยวกับ สปสช.เพื่อให้คนรุ่นเก่าได้หวนรำลึกความหลัง และให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้เรื่องราวในอดีต โดยอ้างว่ารู้จักกับผมมา ๑๐ กว่าปี ตั้งแต่เรายังนั่งทำงานที่ตึกจัสมินใกล้เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ เคยทำกิจกรรมหลายอย่างร่วมกัน ผมก็ตอบไปว่ามันเขียนยาก ตั้งแต่เด็กวิชาที่ผมไม่ชอบเลยคือวิชาเรียงความ ผมชอบเขียนมากกว่าอ่าน แต่มาช่วงหลังผมเริ่มขีดเขียนอะไรที่ไม่ค่อยเป็นสาระ จนเฟซบุ๊คและเว็บบล๊อคของผมเต็มไปด้วยบทความไร้สาระและนวนิยายที่ผมหัดแต่ง คนผู้นั้นคือต้อม สุรกานต์ ที่เคยอยู่สำนักประชาสัมพันธ์ในอดีต ปัจจุบันหลังปรับโครงสร้างไปอยู่หน่วยงานไหนแล้วก็ไม่ทราบ ต้อมบอกว่าเชื่อว่าผมเขียนได้เสาร์-อาทิตย์ ๒ วันผมต้องเขียนเสร็จ
ผมจึงมานั่งทบทวนเรื่องราวของผมกับ สปสช. ผมเริ่มทำงานที่ สปสช.ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙ มาทำงานที่นี่แบบไม่เคยอยู่ในหัว ผมจบแพทย์แล้วเรียนต่อด้านศัลยศาสตร์ทรวงอกเป็นอาจารย์สอนนักเรียนแพทย์และแพทย์ประจำบ้านควบคู่ไปกับการบริการ เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วเป็น ๑ ใน ๒ คนที่รับผู้ป่วยหลอดเลือดโป่งพองทั้งแตกและใกล้แตก และผู้ป่วยโรคปอดทั่วภาคใต้มาทำผ่าตัด ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นหมอผ่าตัดทั่วไปอยู่ในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งไม่ไกลจาก กทม. แล้วชะตาชีวิตผกผันทำให้ต้องเข้าไปจับงานบริหารการเงินของโรงพยาบาลที่อยู่ในภาวะวิกฤติจากการจัดสรรงบประมาณแบบเดิมมาเป็นตามรายหัวประชากรจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ช่วงนั้นยอมรับเลยว่ามีความรู้สึกที่ไม่ดีกับ สปสช. จนวันหนึ่งผมได้เข้าร่วมมหกรรมหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ผมได้ยินเสียงเพลงเกื้อกูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื้อเพลงมันโดนใจ "ร่วมเกื้อกูลเพิ่มพูนพลังชิวิต ร่วมกันคิดแก้ไขให้สังคมนี้ ร่วมกันทำนำสุขเพื่อทุกชีวี สุขภาพดีแด่คนไทยทั่วทั้งแผ่นดิน" ผมบอกกับตนเองว่านี่แหละคือเป้าหมายในการเป็นหมอของผม ผมจึงเริ่มศึกษาเรื่องราวของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มอง สปสช.ในทางที่ดีขึ้น เพราะเข้าใจแล้วว่าเหตุใด สปสช.จึงดำเนินนโยบายเรื่องนั้นเรื่องนี้แบบนั้น ผมอ่านมันทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่การศึกษา unit cost ของทีมพี่วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ที่บอกว่าต้นทุน IPD ของ รพท./รพศ. มันเท่ากับ ๑๘ เท่าของต้นทุน OPD เราจึงต้องลดการ admit
ผมถึงจุดอิ่มตัวกับการทำงานบริหารการเงิน รพท. เส้นทางต่อไปก็คือไปแย่งชิงกันขึ้นตำแหน่งผู้อำนวยการซึ่งไม่ใช่ทางของผม ผมจึงลาออกมาทำงานที่ สปสช.ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สปสช.เขตพื้นที่ราชบุรี มาแบบที่เรียกว่าข้าฯ มาคนเดียว เพราะผมไม่รู้จักใครใน สปสช. ไม่ได้จบรามาฯ เพราะเขาบอกว่าที่นี่เป็นถิ่นหมอรามาฯ ไม่ได้มาจากแพทย์ชนบท มาทำงานได้ ๑ ปีก็ประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้คิดว่าเราคงไม่เหมาะกับที่นี่ ถูกขอให้ย้ายเข้ามาช่วยงานส่วนกลางที่ตึกจัสมิน ชนิดที่เรียกว่าเข้ามาก่อน แล้วค่อยว่ากันจะให้ทำอะไร แต่พอเข้ามาอยู่ส่วนกลางก็พบกับหลายเรื่องราวที่ทำให้เกิดความประทับใจ ใครอยากรู้รายละเอียดให้ไปอ่านเรียงความเรื่องประสบการณ์ชีวิต ณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ผมส่งเข้าประกวดเรียงความในงานวันเกิด สปสช.เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐
อย่างที่เล่ามาแล้วข้างต้นว่าผมเป็นแพทย์เฉพาะทางเป็นศัลยแพทย์ทรวงอก ผ่านการเป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์ แล้วไปใช้ชีวิตเป็นศัลยแพทย์ทั่วไปในโรงพยาบาลทั่วไป ไม่เคยเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล ไม่เคยใช้ชีวิตแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชน ช่วงที่จับงานบริหารการเงินของโรงพยาบาลทั่วไปผมถูกผู้อำนวยการส่งไปเรียนสารพัดหลักสูตรทั้งศิลปะการคิดอย่างเป็นระบบ การบริหารการเงินการบัญชี การบริหารอื่น ๆ แต่มันก็เปรียบเสมือนเป็ดที่ว่ายน้ำสู้ปลาไม่ได้ บินแข่งกับนกก็แพ้ ช่วงที่ผมสนุกที่สุดในชีวิตเจ้าหน้าที่ สปสช.คือช่วงที่ได้ใช้ความรู้และทักษะความเป็นแพทย์เฉพาะทาง นั่นคือช่วงที่อยู่สำนักบริหารจัดการโรคเฉพาะ เป็นรอง ผ.อ.ที่มีพี่ชูชัย ศรชำนิ เป็น ผ.อ. ความเป็นศัลยแพทย์เหมือนกันทำให้เราคุยกันรู้เรื่อง ช่วยกันทำงานเกี่ยวกับโรคเฉพาะอย่างสนุกสนาน อีกช่วงคือช่วงที่เป็นรอง ผ.อ.สำนักพัฒนาคุณภาพบริการ ควบกับตำแหน่งผู้จัดการกองทุนตติยภูมิขั้นสูงรับผิดชอบงาน excellent center มีโอกาสได้ใช้ทักษะของการเป็นแพทย์เฉพาะทางทำงานกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ จากภายนอก สปสช. หลายคนเป็นครูบาอาจารย์ผม หลายคนเป็นเพื่อนฝูงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักกันมาก่อน แต่หลายคนก็เพิ่งจะมีโอกาสได้รู้จักกันได้ทำงานร่วมกัน ในช่วงเวลานั้นทีมงานสำนักพัฒนาคุณภาพบริการได้จัดการเรื่องพัฒนาระบบบริการทั้งสานต่อสิ่งที่มีคนริเริ่มไว้ และริเริ่มด้วยทีมงาน สพค.เอง จนทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการตติยภูมิที่เข้าถึงบริการได้ยากมาก จนขยายเป็นเครือข่ายโรคที่มีอัตราตายสูง แม้เวลาผ่านมาสิบปีเศษผมกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคณะทำงานด้านวิชาการในยุคนั้นก็ยังคบหากันแบบสนิทสนม ติดต่อพูดคุยกันทั้งเรื่องงาน ปรึกษาเรื่องส่วนตัวได้ทุกเรื่อง บางคนก็ยังเล่นกอล์ฟด้วยกันแทบทุกเดือน ผมคิดเอาเองว่าการที่ผู้บริหารระดับสูงในยุคนั้นมอบหมายให้ผมรับผิดชอบภารกิจนี้เป็นการ put the right man to the right job.
ช่วงที่อยู่สำนักบริหารจัดการโรคเฉพาะและสำนักพัฒนาคุณภาพบริการมีเหตุการณ์ที่เป็นประวัติศาสตร์ที่จดจำไปตลอดหลายเรื่อง เช่นตอนที่ผลักดันการบำบัดทดแทนไตเข้าเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวที่พี่สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการ สปสช.ที่กำลังป่วยไปนั่งรอฟังมติ ครม.ในรถตู้ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่าการประชุม ครม.ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก่อนจะนำวาระสำคัญเข้าที่ประชุม ครม.จะต้องผ่านเวที ครม.กลั่นกรองก่อนวันประชุม ครม. ๑ วันเสียก่อน ในการประชุม ครม.กลั่นกรองจะมีรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม แล้วมีองค์ประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงต่าง ๆ เรื่องการบำบัดทดแทนไตก็ต้องผ่านขั้นตอนของ ครม.กลั่นกรองเช่นกัน เนื่องจากวาระสำคัญในครั้งนั้นคือเรื่องเพิ่มสิทธิประโยชน์บำบัดทดแทนไต อาจารย์มงคล ณ สงขลา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สธ.จึงได้รับมอบหมายให้เป็นประธานที่ประชุม ผู้ที่เข้าไปนำเสนอข้อมูลทั้งทางวิชาการและเศรษฐศาสตร์ประกอบด้วยพี่ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช., พี่ถนอม พล.อ.ถนอม สุภาพร อายุรแพทย์โรคไต, คุณหมอวิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนานโยบายสุขภาพ และผม ที่นั่งของเราเหมือนคอกจำเลยในศาลอยู่กลางห้อง พี่ประทีปกับพี่ถนอมนั่งคู่กันแถวหน้า พี่ประทีปเกริ่นนำตามด้วยการนำเสนอข้อมูลของพี่ถนอม ผมกับคุณหมอวิชช์นั่งคู่กันแถวหลัง คอยจดบันทึกข้อซักถามของที่ประชุม ในวันนั้นที่ประชุมมีข้อซักถามเยอะมากโดยเฉพาะเรื่องภาระงบประมาณ แต่ในที่สุด ครม.กลั่นกรองก็มีมติผ่าน การผ่านมติ ครม.กลั่นกรองก็เป็นไฟเขียวสำหรับที่ประชุม ครม.ในวันรุ่งขึ้น
หรือจะเป็นการนำเสนอข้อมูลต่ออนุกรรมการการเงินการคลังที่มีอาจารย์อัมมาร สยามวาลา เป็นประธาน เราต้องเตรียมข้อมูลเยอะมากเพื่อใช้ในการ defend งบประมาณจากงบกองทุน การรู้ประวัติศาสตร์ของงานแต่ละเรื่องทำให้เราสามารถสานต่องานได้ถูกทางตามเจตนารมณ์เบื้องต้น หลายงานมีการเปลี่ยนผู้รับผิดชอบทั้งผู้บริหารทั้ง PM คนที่มารับงานภายหลังก็ไม่เคยรู้ตื้นลึกหนาบางของงานการดำเนินงานจึงเกิดปัญหา ตัวอย่างเช่นงานผ่าตัดต้อกระจก ตอนเราเริ่มโครงการเรามีการของบจากอนุฯการเงินการคลัง โดยอ้างเหตุผลเพื่อลด backlog ของผู้ป่วยตาต้อกระจกจะได้ลดอุบัติการณ์ของตาบอดจึงต้องมีการกระจายเป้าหมายให้แต่ละเขตว่าต้องมีการผ่าตัดไม่น้อยกว่ากี่ราย ทำไปทำมาไม่รู้เหตุใดยุคหลังจึงกลายเป็นกำหนดเป้าหมายให้เขตว่าห้ามทำเกินกี่ราย มันสวนทางกันสิ้นเชิง
หากจะถามผมว่าผมมอง สปสช. ณ ปัจจุบันอย่างไร
เรื่องที่ ๑ สปสช.เต็มไปด้วยคนเก่ง คนที่คิดว่าเก่ง ไม่ว่าจะเป็นระดับ T M หรือ O แต่ขาดทักษะในการสื่อสาร ในการทำงานร่วมกัน ไม่เคยสนใจที่มาที่ไปของงานที่รับผิดชอบ ต่างคนจึงต่างคิดต่างทำไปตามที่คิด ขาดการบูรณาการเนื้องานอย่างแท้จริง ทำงานเป็นท่อน ๆ ขาดการมองงานเป็นระบบ ที่สำคัญขาดการกล้ารับผิด ลองมองดูการจัดการโควิดที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ชัดเจน
เรื่องที่ ๒ ภารกิจของ สปสช.เป็นการบริหารกองทุนสุขภาพ งานหลาย ๆ เรื่องต้องมีหลักทางวิชาการเป็นหลังพิง แต่ผู้บริหาร สปสช.ขาดทักษะในการเจรจากับผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หลายเรื่องจบไม่สวย เช่นนึกจะปรับเปลี่ยนคณะทำงานก็ไม่เคยสื่อสารกับประธานหรือคณะทำงานเดิม บางครั้งก็มีการยุติบทบาทของคณะทำงานด้านวิชาการดื้อ ๆ โดยไม่บอกล่าว หรือบางครั้งก็แสดงความคิดเห็นเชิงอวดรู้ ทำให้ภาพพจน์ของ สปสช.ในสายตาผู้เชี่ยวชาญไม่สู้ดี ขาดพันธมิตรที่ดี
เรื่องที่ ๓ ระบบประเมินผลงานเจ้าหน้าที่ ประเมินเงินเดือน ยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ดี ประเมินง่าย ผู้บริหารบางคนที่ยังไม่มีหลัก จึงใช้การประเมินจากความรู้สึกมากกว่าวัดผลงานจริง และมีการนำอคติในใจมามีส่วนต่อการประเมิน
คราวนี้ถ้าจะให้ผมพูดอะไรกับน้อง ๆ หรือหลาย ๆ คนที่เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานผม ที่ยังทำงานใน สปสช. ผมก็มีคำแนะนำบางประการที่ผมรวบรวมจากประสบการณ์ของผมเองในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมา
๑.ต้องแม่นในกฎ ระเบียบ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๕ ว่ามีเจตนารมณ์อย่างไร ผมท่องมาตรา ๓๘ ของ พ.ร.บ.ไว้ทำมาหากินอยู่หลายปี ต้องแม่นในประกาศ คำสั่งที่เกี่ยวกับภารกิจที่รับผิดชอบ ต้องจำและทำความเข้าใจกับเนื้อหา ตราบใดที่เราปฏิบัติงานสอดคล้องกับข้อกำหนดกฎหมายรับรองเราจะไม่มีชนักปักหลัง
๒.หมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภารกิจที่รับผิดชอบทำงานการเงินก็ต้องรู้จักเรื่องการเงินการบัญชี ทำงานธุรการก็ต้องรู้เรื่องงานสารบรรณ ทำงานกองทุนสุขภาพก็ต้องมีความรู้ทางวิชาการชนิดที่คุยกับใครแล้วไม่โดนเขาหัวเราะเยาะว่าโง่ หรือโดนเขาหลอกง่าย ๆ ต้องเรียนรู้ให้มากกว่าสิ่งที่ทำเป็นประจำ
๓.พัฒนาการสื่อสารภายใน การทำงานต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีผู้ร่วมหน่วยงานหรือกับหน่วยงานอื่นใน สปสช.ด้วยกัน ต้องมีเวทีพูดคุยกันแบบใช้เหตุผลให้มาก ผมยกตัวอย่างเมื่อครั้งที่ผมได้รับมอบหมายให้ปรับเปลี่ยนการจ่ายชดเชยบริการมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผมกับทีมงานสำนักพัฒนาคุณภาพบริการคุยกันจนตกผลึกว่าเราจะออกแบบระบบบริการและระบบการจ่ายชดเชยแบบไหน จากนั้นเชิญสำนักที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักชดเชยฯ สำนักไอที มาคุยร่วมกันจนได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะกำหนดทางเข้าข้อมูลอย่างไร ชุดข้อมูลต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง ไม่ใช่คิดเองคนเดียวแล้วส่งไปให้คนอื่นทำต่อ
๔.พัฒนาการสื่อสารภายนอก เวลาหารืออะไรต้องพูดชัดเจน โดยเฉพาะกับทีมผู้เชี่ยวชาญ ต้องพูดตรงไปตรงมาว่าธงของเราคืออะไร อะไรที่เราไม่รู้ก็ต้องบอกไปเลยว่าไม่รู้ ไม่ใช่ทำเป็นเหมือนข้าฯรู้ทุกเรื่อง อะไรที่เป็นข้อจำกัดของเราเช่นข้อกฎหมายก็ต้องบอกไปให้ชัด
๕.การรับฟังความเห็นคนอื่น โดยเฉพาะความเห็นต่างจากผู้ร่วมงาน บ่อยครั้งที่ความเห็นของผู้ที่คุณวุฒิ หรือวัยวุฒิน้อยกว่าเรากลับเต็มไปด้วยเหตุผลที่ดีกว่าเรา เราก็ต้องยอมรับ ที่สำคัญคนเป็นหัวหน้าต้องฟังมากกว่าพูด มีผู้บริหารหลายคนที่ชอบเรียกเจ้าหน้าที่ไปพูดคุย แต่เอาเข้าจริงเจ้าหน้าที่นั่งอมน้ำลายบูดเพราะไม่มีโอกาสได้พูดเลย หรือพอเริ่มอ้าปากก็โดนขัด และเหนืออื่นใดต้องกล้ารับผิด
๖.ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยเฉพาะกับคนที่ระดับต่ำกว่าเรา ทุกคนกินเงินเดือนที่เป็นงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราทุกคน เขาจึงไม่ใช่ขี้ข้า หรือลูกน้องเรา แต่เขาคือผู้ร่วมงาน การสั่งให้ใครทำอะไรเป็นพิเศษจึงต้องคิดให้หนัก ยกตัวอย่างเชิงสมมุติว่า สปสช.มีการคัดกรองเชิงรุกโควิด แล้วเราสั่งให้เจ้าหน้ากลุ่มหนึ่งไปอำนวยความสะดวกดูแลจัดระเบียบผู้มาตรวจ หรือให้เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งไปเก็บขยะทำความสะอาดพื้นที่ เราต้องคำนึงว่าเขาได้รับวัคซีนป้องกันโควิดเต็มที่แล้วยัง เขาได้รับอุปกรณ์ป้องกันตนเอง ได้รับการสอนวิธีป้องกันตนเองวิธีใช้อุปกรณ์เหล่านั้นแล้วยัง ไม่ใช่แค่สั่งให้ไปปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่ สปสช.ส่วนใหญ่อยู่ในวัยที่มีภาระทางครอบครัว หรือศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมนอกเวลา การใช้งานเจ้าหน้าที่นอกเวลาราชการจึงต้องคิดให้มากก่อนสั่ง เพราะหลายคนกลับจากสำนักงานต้องเตรียมหุงหาอาหารสำหรับคนในครอบครัว วันหยุดก็อาจจะต้องเรียนหนังสือหรือซักผ้ารีดผ้า
๗.ความตรงต่อเวลา ตลอดจนเคร่งครัดต่อวินัยเจ้าหน้าที่ การประชุมต่าง ๆ ต้องเริ่มตรงเวลา จบให้ทันเวลาที่กำหนด การเดินทางออกนอกสถานที่ด้วยกันหลายคนต้องตรงต่อเวลาไม่ปล่อยให้คนอื่นต้องคอยเรา การหายไปจากสำนักงานต้องแจ้งผู้บังคับบัญชาทุกครั้ง ยิ่งในช่วง wfh ต้องซื่อสัตย์กับตนเองว่า wfh สำนักงานคือบ้านหรือที่พักของเรา ไม่ใช่นึกจะไปไหนก็ได้ในเวลาราชการเพราะไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น
๘.อย่าหลงระเริงในความสำเร็จ ประมาณ ๑๐ ปีที่แล้วพี่พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ อดีตรองเลขาธิการเคยไปสัมภาษณ์ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เมื่อครั้งที่อาจารย์เป็นประธานบอร์ด สรพ.มาเปิดให้ผู้บริหารระดับผู้อำนวยการรองผู้อำนวยการฟังในการประชุมซึ่งจัดโดยสำนักพัฒนาคุณภาพบริการที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ บางพลัด อาจารย์วิจารณ์กล่าวไว้ว่า สปสช.สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนคนไทยในด้านสุขภาพ แต่ สปสช.ต้องไม่เกิด complacency ต่อความสำเร็จนี้ complacency ในที่นี้หมายถึงอิ่มเอิบจนชะล่าใจ หรือภาษาชาวบ้านคือ เหลิง หลังจากนั้นอาจารย์วิจารณ์ยังนำเรื่องนี้ไปเขียนเล่าซ้ำในบล๊อก go to know ของอาจารย์
๙.ไม่แบ่งชั้นวรรณะ ทุกคนใน สปสช.คือเพื่อนร่วมงาน คนที่ทันยุค สปสช.ตึกจัสมินคงจำได้ว่าพี่สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการในสมัยนั้นทุกเช้าท่านจะเดินทักทายทุกคนที่ชั้น ๒๘ ถ้ามีเวลาก็ลงไปทักทายชั้น ๒๗ ลงไปประชุมที่ห้องประชุมใหญ่ชั้น ๑๗ พี่หงวนก็เดินทักทายคนชั้น ๑๗ อย่างเป็นกันเอง ไม่เคยวางท่าว่าข้าฯคือเลขาธิการ เป็นหมายเลข ๑ ขององค์กรที่ทุกคนต้องถอยห่างด้วยความยำเกรง เพราะการถอยห่างอาจจะไม่ใช่ด้วยความยำเกรง แต่เป็นด้วยความเกลียดชังรังเกียจก็ได้ สำหรับผมเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มีวัยวุฒิมากกว่าผม ผมจะต้องมีคำนำหน้าว่าพี่ ลุง ป้า น้า อา ทุกคน ไม่เคยเรียกชื่อเฉย ๆ
๑๐.ข้อสุดท้ายที่สำคัญมากไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ การดูแลสุขภาพของตนเอง สปสช.เป็นหน่วยงานด้านสุขภาพที่ทำให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงระบบบริการสุขภาพตั้งแต่คัดกรอง ส่งเสริมป้องกันโรค รักษาโรค ไปจนถึงฟื้นฟูสภาพหลังป่วย แต่เราจะพบเห็นเจ้าหน้าที่ สปสช.ป่วยด้วยโรคสารพัดทั้งทางกายทางจิต เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงการออกกำลังกาย ไม่ตระหนักถึงการเลือกกินอาหาร หรืออาจจะละเลยต่อการตรวจสุขภาพประจำปี การที่เราจะทำให้ประชาชนมีสุขภาพดีได้ พวกเราต้องมีสุขภาพดีก่อน
ผมว่าจะไม่เขียน แต่พอเขียนแล้วมันจบไม่ลง เพราะผมมีความหลังฝังใจที่ สปสช.เยอะมาก ทั้งเรื่องงาน เรื่องคน เอาเป็นว่าขออวยพรให้ทุกคนประสบกับความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัว และหน้าที่การงาน ขอให้ช่วยกันจรรโลงระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนคนไทยซึ่งครอบครัวผมก็เป็นหนึ่งในนั้น และวันที่ ๑ ตุลาคมนี้ ผมก็จะเป็นสิทธิ UC อีก ๑ คน สวัสดีครับ
๑๔/๐๙/๒๕๖๔



ความคิดเห็น