คำให้การเด็กหัวตลาด ตอนที่ ๙๘ เลือดข้นคนจาง
- drpanthep
- 11 พ.ย. 2566
- ยาว 1 นาที

ช่วงที่ละครเรื่อง "เลือดข้นคนจาง" ออกอากาศ เด็กหัวตลาดชอบและรู้สึกอินกับละครเรื่องนี้มาก เพราะมันสะท้อนชีวิตจริงในสังคม โดยเฉพาะสังคมคนมีมรดกให้ลูกหลาน โชคดีที่พ่อของเด็กหัวตลาดไม่มีมรดกให้ลูกต้องแย่งกัน
ดูละครแล้วเลยนั่งวิเคราะห์เป็นมุมมองแต่ละด้าน สนุกดี
........................................................
๑๑/๑๑/๒๒
พูดถึงละครเรื่องเลือดข้นคนจาง ผมเลยไปเอาสิ่งที่ผมเคยเขียนเกี่ยวกับละครเรื่องนี้มารวมกันไว้ เผื่อใครอ่านแล้วจะเกิดความรู้สึกอยากดู ดูแล้วอาจจะได้อะไรมากกว่าที่ผมได้ .................. ดราม่าเรื่องของละครเลือดข้นคนจาง
จากละคร เห็นการจัดลำดับลูกหลานตามธรรมเนียมจีน เรียงจากลูกชายคนโต แล้วไล่ไปตามอายุ ปิดท้ายด้วยหลานชายที่เป็นหลานปู่คนโตซึ่งนับเท่ากับเป็นลูกชายคนเล็ก จากนั้นจึงตามด้วยสะใภ้ แล้วต่อด้วยลูกสาวซึ่งถือว่าเป็นคนนอกเพราะแต่งออกให้สกุลอื่นแล้ว ตามด้วยเขย แล้วหลานใน หลานนอก
ไฮไลท์คือตอนเปิดพินัยกรรม ที่ลูกสาวซึ่งเป็นคนบริหารโรงแรมดันไม่ได้หุ้นส่วนของโรงแรมจึงไม่พอใจ เป็นกรรมของคนรวย ไม่ว่าจะแบ่งสมบัติอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะเกิดความเท่าเทียมกัน ต้องมีใครบางคนรู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบ อันที่จริงเจ้าพินัยกรรมจะยกอะไรให้ใครเป็นสิทธิของเขา จะยกให้ใครมากให้ใครน้อยก็เป็นสิทธิของเจ้าของทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ใยผู้รับมรดกจึงต้องมาโกรธเคืองกัน มาน้อยใจกันด้วยนะ อืม! มันก็พูดยากนะเพราะบ้านผมไม่ร่ำรวย ไม่มีมรดกอะไรที่จะยกให้ลูกหลาน
นิยายหรือละครหรือภาพยนตร์เรื่องนี้สอนให้รู้จักวิเคราะห์คนได้ดี ผมวิเคราะห์เรียงตัวดังนี้
รุ่นพ่อแม่ ๑.อากง เหมือนคนจีนรุ่นเก่าทั่วไป กูเป็นใหญ่ในครอบครัว กำหนดชะตาชีวิตใครก็ได้ ๒.อาม่า หญิงจีนหัวโบราณที่ยึดติดกับขนบธรรมเนียม
รุ่นลูก ๑.เฮียเสริฐ ลูกชายที่ดีในสายตาของพ่อแม่ เพราะเป็นลูกชายคนโตที่ยอมเสียสละความสุขเพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ แต่เป็นคนที่เก็บกดมีปมในใจจนกลายเป็นแข็งกระด้าง ไม่มีจิตวิทยาในการครองคน ๒.กู๋เมธ เป็นคนที่ยึดติดกับความรัก เมื่อสูญเสียคนที่รักก็เสียผู้เสียคน เพราะขาดการปล่อยวางในเรื่องของสังสารวัฏ อารมณ์อ่อนไหวจนขาดสติ ๓.อี๊สร เป็นลูกสาวที่มีความรู้สึกว่าไม่เคยได้รับความยุติธรรมจากพ่อแม่ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคนเก่ง จนสุดท้ายความน้อยเนื้อต่ำใจที่สะสมมาตลอดชีวิตกลายเป็นความโลภ ความอยากเอาชนะ ๔.เจ็กกรกันต์ ผู้หลงไหลในการพนัน ดูเหมือนชีวิตไม่เป็นคนเอาการเอางานต่างจากพี่ ๆ แต่เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของลูกเมีย ทำให้ครอบครัวของตนเองเต็มร้อยตลอดเวลา และเป็นคนที่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นตลอด
จะมาวิเคราะห์รุ่นหลานกันต่อ
๑.อี้ ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโตของบ้านและเป็นหลานชายคนโตของอากงอาม่า แต่นับเป็นหลานนอก เพราะเป็นลูกของลูกสาวที่แต่งออกนอกบ้านแล้ว ตอนเด็กคงได้รับการเลี้ยงดูแบบตามใจ และมีอิสระทางความคิดมากพอดู จนเหมือนเด็กที่ถูก spoil มาตลอด จากลูกนายตำรวจหลานเสี่ยใหญ่ อี้จึงเป็นช่างตัดผมแทนที่จะเป็นตำรวจหรือจับธุรกิจของครอบครัว อี้จึงเป็นคนที่ทำอะไรต้องชนะ ไม่สนใจวิธีการสนใจแค่เป้าหมาย เมื่อต้องการช่วยน้องชายและมั่นใจว่ากู๋เมธคือฆาตกรอี้จึงทำทุกวิธีที่จะเปิดเผยความจริงโดยไม่สนใจว่าวิธีการที่ตนกระทำจะผิดกฎหมาย หรือผิดทำนองคลองธรรมหรือไม่ คนอย่างอี้คือคนที่เราควรจะคบค้ามาเป็นมิตรไว้คอยช่วยเหลือเราในยามยาก
๒.พีท ผู้ที่มีความสุขุม คิดอะไรหลายตลบ ยึดมั่นในความถูกต้อง แต่ไม่ละทิ้งความเหมาะสม ภายใต้ความกดดันที่พ่อถูกยิงตาย ตนเองได้เป็นทายาทที่รับมรดกคนเดียวเพราะเล่ห์กลของแม่ สิ่งที่พีทคิดถึงคือความถูกต้อง ด้วยความเป็นคนสุขุมจึงทำให้คิดรอบคอบและเข้าใจถึงความรู้สึกของพ่อที่มีต่อบ้านเล็กจึงคิดว่าตนเองต้องทำหน้าที่แทนพ่อ เมื่อมารู้ว่าแม่คือ ๑ ในต้นตอของปัญหาจนทำให้พ่อถูกยิงตายจึงคิดว่าควรจะกันแม่ออกไปจากครอบครัว เพื่อไม่ให้เกิดความร้าวฉานมากไปกว่าเดิม คนอย่างพีทเป็นคนที่ไม่ควรไปตอแยด้วย เพราะยากที่เราจะเดาใจว่าเขากำลังคิดอะไร
๓.เวกัส ผู้ที่ดูเหมือนจะเกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหาเพราะพ่อแม่ติดการพนัน แต่ก็ได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่มาตลอด นอกจากนี้ยังได้รับความรักความเมตตาจากแปะเมธในฐานะที่ตนเองถูกยกเป็นลูกบุญธรรมของแปะเมธ ทำให้เวกัสเป็นคนที่มีความคิดความอ่านดียึดถือความถูกต้อง แต่เวกัสมองว่าแปะเมธเป็นฮีโร่ของตนเพราะคุยกันรู้เรื่องกว่าพ่อของตนเอง เมื่อรู้ความจริงว่าแปะเมธคือฆาตกร และเต้ยกำลังตกเป็นแพะรับบาปได้รับความเดือดร้อน เวกัสจึงพยายามคุยกับแปะเมธให้ยอมรับผิด แต่เมื่อแปะเมธบอกเหตุผลที่ตนเองรับสารภาพไม่ได้ เวกัสก็หยุดเซ้าซี้และเก็บความลับไว้ในใจด้วยความหนักอก ไม่ยอมแพร่งพรายข้อมูลที่ตนได้มาโดยความบังเอิญ เพราะสงสารแปะเมธ คนอย่างเวกัสเหมาะที่จะคบเป็นมิตรอีกคน เพราะหากถูกใจรักใคร่กันแล้วเขาจะเก็บความลับของเราเป็นอย่างดี
๔.เหม่เหม เป็นเด็กมีปัญหาเพราะแม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก จึงถูกพ่อเลี้ยงเดี่ยวมาจนมีความรู้สึกขาดพ่อไม่ได้ เมื่อรู้ว่าพ่อเป็นคนยิงแปะเสริฐตายจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยพ่อ ไม่สนใจความถูกต้อง ไม่สนใจความชอบธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ทำอะไรก็ได้ขอเพียงให้พ่ออยู่กับตนเองไปตลอด เป็นคนที่มีทักษะทางการวางแผนอ่านเกมส์ สามารถเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งว่าตนเองต้องกำจัดของกลางและวัตถุพยานให้หมด วางแผนหาคนมาเป็นแพะรับบาปโดยไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร คนแบบเหม่เหมเป็นตัวอันตรายที่ต้องอยู่ห่างไกลที่สุด เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวันใดวันหนึ่งเหม่เหมอาจจะเอาเราไปเป็นแพะรับบาปเรื่องร้ายแรง
๕.เอิน เป็นอีกคนที่อ่านใจยาก ด้วยความสุขุมนุ่มลึก ไม่เคยแสดงออก ในขณะที่เอินสงสัยว่าแม่คือฆาตกร แต่เอินเก็บความรู้สึกได้ดีมาก ไม่เคยมีพิรุธให้ใครสงสัยใดใดเลย สิ่งที่เอินทำคือปลอบใจทุก ๆ คนรอบตัว คนแบบเอินเป็นอีกคนที่ไม่น่าคบหา เพราะเราเดาใจไม่ถูกเลยว่าคิดอะไร
๖.เต๋า เต๋าเป็นคนที่เหมือนคนทั่ว ๆ ไป ไม่มีอะไรเด่น เพียงแต่เป็นดาราวัยรุ่น การที่ครอบครัวเจอมรสุมแบบนี้ มันอาจจะส่งผลให้หนทางเดินในเส้นทางบรรเทิงของเต๋าจบลง เต๋าต้องตัดสินใจระหว่างแม่กับตนเอง ในที่สุดเต๋าก็เลือกแม่ จึงตอบโต้นักข่าวอย่างไม่แคร์
๗.เต้ย คนนี้น่ากลัว ถ้าจะมองแบบหมอ เต้ยเป็นคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต เป็นคนเจ้าอารมณ์โมโหร้าย เก็บกดทางเพศ ด้วยความเป็นคนเจ้าอารมณ์เจ้าคิดเจ้าแค้นจึงถูกหลอกง่าย คนแบบเต้ยต้องหลีกห่างอย่าเอามาเป็นลูกน้อง เพราะจะทำให้เสียการเสียงานได้ง่าย
๘.มาเก๊า เป็นคนเรื่อยเปื่อยรักสนุก รักการกิน เมื่อเห็นมาเก๊าคนแรกที่ผมคิดถึงคือนิกร จากหัสนิยายชุดสามเกลอของ ป.อินทปาลิต เป็นคนที่ไม่ค่อยจะเอาอ่าวอะไร แต่นาน ๆ ครั้งก็มีอะไรที่พอจะเอาเรื่องได้เหมือนกัน คนแบบมาเก๊าเหมาะที่จะคบค้าสมาคมไว้ไปเที่ยวเตร่หาความสนุกสนาน
๙.ก๋วยเตี๋ยว เป็นคนที่เรารู้เรื่องเบื้องหลังน้อยที่สุด ไม่นับที่มี ดร.คนหนึ่งเคยวิเคราะห์ประวัติชีวิตก๋วยเตี๋ยวผูกกับ supermarket แห่งหนึ่งที่ภรรยาผมเป็นลูกค้าประจำคือ Gourmet ก๋วยเตี๋ยวเคยแสดงออกทางอารมณ์เพียงครั้งเดียวคือตอนเข้าแถวกงเต๊กอากง เพราะตนเองรู้สึกว่าตนเองน่าจะอยู่ช่วงต้น ๆ แถวในฐานะลูกเลี้ยงของอากง แต่หลังจากนั้นก๋วยเตี๋ยวนิ่งมาก แม้กระทั่งตอนที่เปิดพินัยกรรมอากงไม่มีการพูดถึงตนเองเลย สิ่งที่ก๋วยเตี๋ยวทำคือดูแลอาม่าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่สนใจเรื่องทรัพย์สมบัติใดใด อาจจะเพราะก๋วยเตี๋ยวมีอารมณ์ศิลปินออกแนวติสท์ เห็นทุกอย่างแบบโลกสวย คนแบบก๋วยเตี๋ยวเป็นอีกคนที่น่าคบหา เพราะเป็นคนไม่คิดมาก อะไรก็ได้
๑๐.ฉี พ่อตั้งชื่อฉีแปลว่าก้อนหิน คงต้องการให้ลูกแข็งแกร่งเหมือนหิน เพราะเป็นลูกเมียน้อยที่ชีวิตต่างจากคนทั่วไป ได้เจอพ่อแค่สัปดาห์ละ ๑ วัน ชีวิตของฉีจึงผูกพันกับแม่คล้าย ๆ กับเหม่เหมที่ผูกพันกับพ่อ ฉีทำตัวเป็นหินจริง ๆ ชีวิตนี้ไม่แคร์อะไรนอกจากแม่เท่านั้น ฉีเป็นคนที่ยอมรับสภาพลูกเมียน้อยไม่คิดว่าตนเองจะได้อะไรจากพ่อ เพียงแต่เมื่อมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแม่จากโรคร้ายทำให้ฉีจำเป็นต้องบากหน้าไปพูดเรื่องมรดก จะว่าไปแล้วฉีเหมือนคนที่พอเพียงคนหนึ่ง สำหรับตนเองไม่ต้องการอะไร มีความสุขกับการเล่นดนตรีไปตามประสานักศึกษาดุริยางคศิลป์ คนอย่างฉีไม่มีทางเอาเปรียบใคร จะว่าไปแล้วคงไม่กินของใครง่าย ๆ คนแบบนี้น่าคบค้าสมาคมด้วย
แล้วคุณคิดว่าผมเป็นคนแบบใครในบรรดาหลานอากง ๑๐ คน ................................ ผมตอบเลยว่าผมคล้ายอี้มากที่สุด ยอมหักไม่ยอมงอ หากคิดว่าถูกต้องจะสู้ทุกวิถีทางจนกว่าจะถึงที่สุด ไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหม
ละครเรื่องนี้เรื่องนี้สอนอะไรเราหลายอย่าง รวมไปถึงการวิเคราะห์คนในหลากหลายสไตล์ แต่ฉากที่ผมดูแล้วประทับใจจนน้ำตาไหลคือฉากที่น้องสาวไปเยี่ยมพี่ชายที่เป็นนักโทษคดีฆ่าคนตาย กู๋เมธขอโทษที่ทำให้อี๊สรและครอบครัวต้องเดือดร้อน จนถึงขั้นเต้ยต้องติดคุก ส่วนอี๊สรก็สารภาพกับกู๋เมธว่าตนเองรู้เห็นกับการกระทำของซ้อคริสแต่วางเฉยจนทำให้เรื่องบานปลายมาใหญ่โต แล้วถามพี่ชายว่าโกรธมั๊ย สุดท้าย ทั้งสองต่างก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน
ผมคิดว่าความปรองดองจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ ๓ อย่าง นั่นคือการยอมรับผิด, การขอโทษ และการให้อภัย ถึงแม้หลายคนจะมองว่าผมเป็นตัวร้ายของสังคม แต่คนยอมหักไม่ยอมงอแบบผม จะมี ๓ องค์ประกอบนี้ประจำใจ ผมกล้ายอมรับผิดในการกระทำของผม ผมกล้าขอโทษในสิ่งที่ผมกระทำไปแล้วทำให้ใครเดือดร้อน และผมยินดีให้อภัยคนที่ขอโทษผม
บทสรุปคือ ชีวิตจะอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความสุข หากยึดหลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ด้วยหลัก ๓ อย่าง ยอมรับผิด เมื่อกระทำผิด ยอมขอโทษ เมื่อทำอะไรไปแล้วทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ยอมให้อภัย เมื่อได้รับการขอโทษ
บทเรียนที่ได้เบื้องต้น ๑.ความลับถ้ามีบุคคลที่ ๒ รู้ ก็จะไม่เป็นความลับ ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมทางแก้ไว้ให้พร้อม ถ้าวันหนึ่งความลับโดนเปิดเผย ๒.พินัยกรรมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเจ้าของพินัยกรรม ทรัพย์สมบัติที่เขาสร้างสมหามาย่อมเป็นสิทธิที่จะมอบให้ใครอย่างไรก็ได้ พินัยกรรมทำแล้วยังทำใหม่ได้จนวินาทีสุดท้ายก่อนจะสิ้นสติสัมปชัญญะ ก็ไม่ต้องไปสนใจคำพูดหรือพินัยกรรมที่หมดสภาพทางกฎหมาย เจ้าของพินัยกรรมย่อมมีความคิดเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ๓.ความโลภ, อารมณ์โกรธ, อารมณ์เสียใจจนเกินสมควร เป็นหนทางแห่งความฉิบหายของตนเองและครอบครัว ๔.ระบบกงสีใช้ไม่ได้กับสังคมปัจจุบัน ยิ่งในครอบครัวที่เขยและสะใภ้ปราศจากความพอเพียงและเพียงพอ พ่อแม่เลี้ยงลูกหลายคนให้รักกันปานจะกลืนกินแค่ไหนก็ตาม แต่วันหนึ่งเมื่อมีคนอื่นเข้ามาในชีวิตลูก คนที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาแบบเดียวกัน ผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่พ่อแม่สร้างไว้ ทำให้ลูกทุกคนกลายพันธุ์ได้ทันที ยิ่งถ้าพ่อแม่มีความรัก ความหวงในสิ่งที่ตนสร้างมากับมือ เลยยกให้เป็นมรดกกับลูกหลายคนครอบครองด้วยกันหวังว่าจะช่วยกันรักษาสมบัตินั้นไว้ ในชีวิตจริงมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง มันไม่ทะเลาะแบ่งแยกแย่งกันในชั้นลูกก็ต้องไปทะเลาะกันในชั้นหลาน
พ่อแม่สนับสนุนให้ลูกมีการศึกษา มีความประพฤติอยู่ในกรอบศีลธรรมทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของประเทศ ให้ลูกรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีมรดกในวันนี้ แล้วไปดีใจในวันหน้าที่ยังรักใคร่กันเหมือนเดิมเพราะไม่รู้จะทะเลาะเพื่อแย่งอะไรกันจะดีกว่า
Comentários