๑.กว่าจะเป็นครูแพทย์
- drpanthep
- 19 เม.ย. 2565
- ยาว 1 นาที
การเป็นครูแพทย์นี่ไม่เหมือนครูทั่วไป ที่จบครุศาสตร์ อักษรศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ แล้วมาเป็นครู คนที่จะเป็นครูแพทย์ได้นี่ต้องฝ่าด่านอะไรต่อมิอะไรเยอะพอสมควร ในสมัยผมด่านแรกคือต้องเรียนให้จบแพทยศาสตร์บัณฑิตก่อน เมื่อจบแล้วก็ต้องสมัครขอทุนจากโรงเรียนแพทย์เพื่อไปเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง ขั้นตอนนี้ก็ต้องแข่งกันเพราะโดยทั่วไปมักจะมีคนสมัครมากกว่าอัตราที่รับเสมอ การพิจารณาคนรับทุนก็พิจารณาจากผลการเรียน ผลการทำงาน บุคลิกนิสัยใจคอ เรียกว่าพิจารณากันหลายด้าน
เมื่อแต่ละภาควิชารับหมอจบใหม่เพื่อไปเรียนต่อเฉพาะทาง ในรุ่นก่อนหน้าผมนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทางคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ยังเป็นน้องใหม่ จึงได้สิทธิพิเศษจากแพทยสภาให้ผู้ที่รับทุนเป็นครูแพทย์ของ ม.อ.ไปเรียนต่อได้เลย ไม่ต้องทำงานชดใช้ทุนก่อน แล้วค่อยกลับมาทำงานใช้ทุนทบต้นเมื่อเรียนจบแล้ว ช่วงนั้นการไปเรียนต่อเฉพาะทางยังใช้เวลาเรียน ๓ ปี ใครรับทุนแล้วไปเรียนเลยก็ต้องกลับมาทำงานชดใช้ทุน ๖ ปี บวกกับช่วงใช้ทุนเมื่อจบแพทย์ที่ค้างไว้ ๒ ปี รวมเป็น ๘ ปี
แต่มาถึงรุ่นผมไม่มีบทเฉพาะกาลนี้แล้ว ถ้าจะไปเรียนต่อต้องทำงานใช้ทุนให้ครบก่อน ๓ ปี แล้วจึงจะไปเรียนต่อได้ แต่มีบางสาขาที่จัดเป็นสาขาขาดแคลนพิเศษเช่นรังสีรักษา พวกนี้ไปเรียนต่อได้เลยไม่ต้องใช้ทุนก่อน หรือบางสาขาเป็นสาขาขาดแคลนเช่นศัลยศาสตร์ทรวงอก ประสาทศัลยศาสตร์ กลุ่มนี้ให้ทำงานใช้ทุนก่อน ๑ ปีแล้วไปเรียนต่อได้ ผมก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุนที่ภาควิชาศัลยศาสตร์ ม.อ. ๑ ปีแล้วไปเรียนต่อศัลยศาสตร์ทรวงอก เวลาจะไปเรียนต่อก็ต้องไปหาที่เรียนแล้วสมัคร ผมเลือกไปเรียนต่อที่ศิริราชซึ่งในสมัยนั้นมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ ม.อ. เมื่อไปสัมภาษณ์จึงผ่านฉลุย
การไปเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทางไม่เหมือนการไปเรียนหนังสือ แต่เป็นการไปทำหน้าที่แพทย์ประจำบ้านปฏิบัติงานแบบเข้มข้นเฉพาะสาขาที่เราเรียน ช่วง ๓ ปีที่ศิริราชนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุด ยากลำบากที่สุด เลวร้ายที่สุดของการเป็นหมอเลยก็ว่าได้ จนพวกเราใช้คำพูดว่า....ใครที่ผ่านการเทรนศัลย์ที่ศิริราชครบ ๓ ปีได้นี่นับว่าผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตแล้ว ต่อไปจะไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว....
ช่วงที่เป็นแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ปี ๑ ไม่ว่าใครจะเรียนสาขาใดก็ตามทุกคนต้องมาเวียนไปปฏิบัติงานในสาขาต่าง ๆ สาขาละ ๑ เดือนก่อน เพื่อให้มีพื้นฐานทางศัลยศาสตร์ครบทุกด้านตั้งแต่หัวจรดเท้า ภายนอกยันภายใน
เมื่อขึ้นปี ๒-๓ ก็จะแยกย้ายกันไปตามแต่ละสาขาของตน เราไม่มีชั่วโมงเลคเชอร์ ทฤษฎีต่างๆต้องหาตำราอ่านเอาเอง ตำราที่อ่านมีทั้งที่เป็นตำราที่เรียกว่า standard textbook มีทั้งตำราเสริมเฉพาะเรื่อง มีทั้งวารสารทางการแพทย์ในสาขานั้นสารพัดค่ายทั้งจากสหรัฐอเมริกา จากยุโรป
การทำงานของแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ทรวงอกนั้นแต่ละวันเริ่มตั้งแต่ตี ๕ ดูคนไข้ในไอซียูจนเสร็จเรียบร้อย ก็ไปดูคนไข้ที่หอผู้ป่วยต่อจนถึง ๘ โมงต้องรีบกินข้าวให้อิ่ม เข้าส้วมให้เรียบร้อย ๘ โมงครึ่งเริ่มเคสผ่าตัด เวลาสำหรับมื้อเที่ยงไม่แน่นอนบางวันไม่ได้กิน ช่วงระหว่างต่อเคสก็ซัดกาแฟเข้ม ๆ ไม่ให้หลับตอนช่วยผ่าตัด เสร็จผ่าตัดช่วงเย็น ก็ต้องดูคนไข้หลังผ่าตัดในไอซียูให้เรียบร้อยจนมั่นใจว่าไม่มีอะไรแล้ว ก็จะออกไปดูคนไข้ที่หอผู้ป่วยเพื่อเตรียมผ่าตัดวันรุ่งขึ้น แล้วก็ตระเวนไปดูคนไข้ที่มีการปรึกษามาจากภาควิชาอื่นๆทั่วโรงพยาบาล กว่าจะเสร็จก็ประมาณ ๑ ทุ่ม ก็ต้องรีบกินมื้อเย็นเพื่อที่จะกลับไปอยู่เวรเฝ้าไอซียูต่อ รุ่นผมมีกัน ๒ คนก็ผลัดกันอยู่เวรวันเว้นวัน
เวลาอยู่เวรที่ไอซียูพอถึง ๒ ทุ่มตรง ต้องโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์กับอาจารย์กัมพล ประจวบเหมาะซึ่งเป็นปรมาจารย์ของพวกเราว่าคนไข้แต่ละเตียงเป็นอย่างไรบ้าง บางครั้งคนไข้หลังผ่าตัดมีปัญหาก็ต้องนำไปผ่าตัดฉุกเฉิน หรือไม่ก็ต้องนั่งเฝ้าคนไข้ที่อาการไม่ปกติทั้งคืน บ่อยครั้งที่เข้าไปงีบในห้องเวร พยาบาลโทรศัพท์เข้าไปตาม พอวางหูก็หลับต่อ พอถึงตี ๕ ก็กลับมาสู่วงจรเดิมอีก ใช้ชีวิตแบบนี้ ๒ ปีเต็ม ๆ แทบจะไม่มีแรงอ่านหนังสือเลย ชีวิตอยู่ได้ด้วยกาแฟวันละหลายแก้ว เพื่อให้ถ่างตาอ่านหนังสือได้
พอเป็นแพทย์ประจำบ้านปี ๓ ปลายปีก็จะมีการสอบ อ้อ! ช่วงปี ๑ ขึ้นปี ๒ และปี ๒ ขึ้นปี ๓ นี่เราไม่มีการสอบนะครับ ปลายปี ๓ นี่เป็นการสอบใหญ่ของเราที่เรียกว่าสอบบอร์ด การสอบมีทั้งข้อเขียนและสอบปากเปล่า สอบข้อเขียนมี ๒ ภาค ภาคความรู้พื้นฐานทางศัลยศาสตร์ ภาคความรู้เฉพาะทางศัลยศาสตร์ทรวงอกและพยาธิวิทยา สอบปากเปล่าก็เป็นการสอบกับกรรมการ ๔ คน จะเป็นการถามตอบเกี่ยวกับคนไข้ เป็นอะไรที่โหดสุด ๆ เพราะต้องเดาใจอาจารย์ที่เป็นกรรมการว่าอยากได้คำตอบแบบไหน
พอสอบผ่านก็กลับไปเป็นครูแพทย์ แต่ก่อนจะเป็นครูแพทย์เต็มตัวรุ่นผมนี่ถูกจับไปอบรมแพทยศาสตร์ศึกษา ๑ สัปดาห์ เพื่อให้รู้ซึ้งถึงความเป็นครูแพทย์ก่อน บรรดาครูแพทย์ทั้งหลายที่ผมเอาเรื่องมาเล่าแต่ละคนผ่านศึกนี้มาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ครูแพทย์แต่ละสาขาจะผ่านความหนักเบาไม่เท่ากันขึ้นกับสาขาที่เรียนและสถาบันที่ไปเรียนต่อ แต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีอะไรที่แตกต่างกันออกไป


ความคิดเห็น