๓๓.ไม่เคยต้องลอง
- drpanthep
- 21 เม.ย. 2565
- ยาว 1 นาที
การเป็นศัลยแพทย์ทรวงอก หรือ CVT นี่เรียกได้หลายอย่าง ศัลยแพทย์ทรวงอกบ้าง ศัลยแพทย์หัวใจบ้าง ศัลยแพทย์หัวใจและหลอดเลือดบ้าง ศัลยแพทย์หัวใจหลอดเลือดและทรวงอกบ้าง แม้แต่ภาษาอังกฤษก็มีหลายคำ thoracic surgeon บ้าง cardiac surgeon บ้าง cardiovascular and thoracic surgeon บ้าง แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็ตามโดยพื้นฐานของศัลยแพทย์หรือหมอผ่าตัดด้านนี้จะเรียนรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดโรคที่เกี่ยวกับอวัยวะในช่องอกทั้งหมด ที่ทำบ่อยก็จะมีหัวใจ ปอดและหลอดลม เส้นเลือดแดงใหญ่
แต่บางคนอาจจะไปฝึกปรือเพิ่มเติมให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการผ่าตัดปอด ด้านการผ่าตัดหัวใจ ด้านหัวใจนี่ก็ยังแบ่งเป็นผ่าตัดแก้ไขโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในเด็ก ผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติขิงลิ้นหัวใจซึ่งมักจะเป็นผลจากการติดเชื้อโรคเป็นโรคหัวใจรูห์มาติก ผ่าตัดเกี่ยวกับเส้นเลือดโคโรนารี่หรือเส้นเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเอง
เคยเล่าแล้วว่าพอจบแพทย์ก่อนจะไปเรียนต่อเฉพาะทางศัลยศาสตร์ทรวงอกที่ศิริราชผมเป็นแพทย์ใช้ทุนประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก็ต้องหมุนเวียนไปตามหน่วยต่าง ๆ แต่ก่อนจะไปเรียนต่อผมได้อยู่ประจำหน่วยศัลยศาสตร์หัวใจ หลอดเลือดและทรวงอก เป็นเวลา ๖ เดือน เพื่อเตรียมต่อไปเรียนต่อ
ในช่วงนี้งานหลักผมคือช่วยอาจารย์ประเสริฐ วศินานุกร ดูคนไข้ที่เกี่ยวกับทรวงอกทั้งหมด ก็เป็นคนไข้เนื้องอกในปอด คนไข้ลิ้นหัวใจตีบ คนไข้เด็กที่เส้นเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างเส้นเลือดแดงใหญ่กับเส้นเลือดที่ไปปอดไม่ปิด อาจารย์จะสอนผมผ่าตัดพวกนี้แบบจับมือสอนกันเลย เรียกว่าก่อนไปเรียนต่อที่ศิริราชนี่ผมผ่าพวกนี้ได้คล่องแล้ว
พอไปเรียนต่อที่ศิริราช ปรากฏว่าเขาเน้นการผ่าตัดหัวใจเป็นหลัก อาจารย์เกือบทุกคนไม่มีใครสนใจเรื่องการผ่าตัดปอดเลย แพทย์ประจำบ้านจึงแทบจะไม่เห็นคนไข้โรคอื่นนอกจากโรคหัวใจ ไม่เห็นการผ่าตัดปอด ไม่เห็นการผ่าตัดหลอดลม ไม่เห็นการผ่าตัดหลอดอาหาร
แต่เจ็บปวดมากตอนสอบบอร์ด กรรมการที่สอบปากเปล่าท่านหนึ่งเอาคนไข้โรคถุงลมโป่งพองมาสอบ ท่านหนึ่งเอาคนไข้เส้นเลือดแดงใหญ่ในทรวงอกโป่งพองมาสอบ ท่านหนึ่งเอาคนไข้โรคมะเร็งหลอดอาหารมาถาม ท่านหนึ่งเอาคนไข้หัวใจโป่งพองไม่บีบตัวต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมาสอบ สำหรับผมถือว่านี่เป็นความล้มเหลวของระบบการเรียนต่อเฉพาะทางหรือ training failure เลย
ในขณะนั้นที่ศิริราชมีอาจารย์ที่เล่นเรื่องมะเร็งปอดคืออาจารย์ธีระ ลิ่มศิลา อันที่จริงอาจารย์เป็นคนหนึ่งในทีมที่ริเริ่มผ่าตัดหัวใจในประเทศไทย แต่ว่ากันว่าท่านเจอวิบากกรรมทางการเมืองของภาควิชาศัลยศาสตร์ทำนองเดียวกับป๋าเหลิมชาติ ท่านเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่าตัดหัวใจอีกเลย
อาจารย์ธีระท่านจึงหันมาผ่าตัดปอดอยู่คนเดียว แต่ตอนหลังมียาเคมีบำบัด มีการฉายแสงรังสีรักษา ท่านจึงหันไปเป็นคนริเริ่มให้ยาเคมีบำบัดในคนไข้มะเร็งปอด คนไข้ที่เอามาผ่าตัดจึงมักจะแค่ผ่าเปิดเข้าไปเพื่อตัดชิ้นเนื้อไปส่งตรวจทางพยาธิวิทยา แทบจะไม่มีการตัดปอดออกเลย
ช่วงที่ผมเป็นแพทย์ประจำบ้านอาจารย์ธีระหันไปทำงานด้านบริหารเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เรียกว่าใหญ่มากเพราะถ้าเป็นด้านการเรียนการสอนก็มีคณบดีคณะแพทย์ศิริราชพยาบาลเป็นใหญ่ แต่ด้านการบริหารโรงพยาบาลนี่จะอยู่ในมือผู้อำนวยการทั้งหมด
ผมได้ใช้บารมีของผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราชมาช่วยเรื่องส่วนตัว สมัยนั้นการขอใช้โทรศัพท์จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยนี่เป็นเรื่องยากมาก ต้องจ่ายเงินหลายพันบาทและรอคิวว่าเมื่อไหร่จะมีคู่สายให้ ผมจึงขอให้อาจารย์ธีระออกหนังสือจากศิริราชว่าผมเป็นแพทย์ประจำบ้านมีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เพื่อใช้ในการตามตัวนอกเวลาราชการ เพื่อไปติดตั้งโทรศัพท์ที่บ้านพ่อผมที่หมู่บ้านเสนานิเวศน์
อาจารย์บอกให้ผมไปพิมพ์มา เดี๋ยวอาจารย์เซ็นให้ ยังจำแม่นวันที่เอาไปให้อาจารย์เซ็นที่ห้องผู้อำนวยการ อาจารย์เซ็นแล้วถือออกมาให้เลขานุการหน้าห้องนำไปออกเลขหนังสือราชการ เลขาฯบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่ขอโทรศัพท์ใช้ในหน่วยงานราชการ ไม่เคยปฏิบัติเรื่องออกเลขหนังสือราชการ อาจารย์หัวเราะแล้วบอกว่า....ไม่เคยปฏิบัติก็ลองปฏิบัติดู.... เลขาฯเลยต้องไปออกเลขหนังสือราชการให้ผม
ผมถือหนังสืออาจารย์ธีระไปยื่นพร้อมกับคำร้องขอติดตั้งโทรศัพท์ที่สำนักงานใหญ่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ถนนเพลินจิต แค่ ๓ วันเท่านั้นก็ได้รับการติดต่อว่าให้ไปจ่ายเงินค่าติดตั้ง ๓,๐๐๐ บาท เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ไปดำเนินการติดตั้งให้โดยเร็ว ที่บ้านพ่อผมเลยมีโทรศัพท์ใช้บ้านเดียวในละแวกนั้นด้วยบารมีของอาจารย์ธีระ ลิ่มศิลา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช
ผมจึงมีความเห็นว่าการทำอะไรในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการจำเป็นต้องมีเส้นสาย ต้องมีสายสัมพันธ์อันดีงาม ต้องหาผู้ที่มีบารมีมาหนุนหลังแล้วทุกเรื่องจะสะดวกโยธินจริง ๆ แต่การจะใช้เส้นสายอะไรนี่ขอให้ใช้เท่าที่จำเป็น และใช้ไปในทางที่ถูกที่ควร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และที่สำคัญไม่ใช้ไปในทางทุจริต

ความคิดเห็น