๓๑.นายทหารหนุ่ม
- drpanthep
- 21 เม.ย. 2565
- ยาว 1 นาที
ขอย้อนกลับไปในช่วงชีวิตแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ทรวงอกที่ศิริราชของผม การเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางนี่จะเรียกว่าเรียนก็ไม่ถูก อันที่จริงเป็นการทำงานแบบหมอคนอื่น ๆ แต่ทำเฉพาะด้านที่เราไปเรียนต่อ ที่เพิ่มมาคือการอ่านหนังสือตำราสารพัดด้วยตนเอง เพราะไม่มีการเลคเชอร์ของอาจารย์เหมือนสมัยเป็นนักเรียนแพทย์ ยกเว้นตอนปี ๑ มีการเรียนวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เชิงลึก ฟังแล้วงง ฮิ ๆๆ เพราะมันเป็นพวกวิชากายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา เภสัชวิทยา จุลชีววิทยา พยาธิวิทยาที่เราเรียนกันตอนเป็นนักเรียนแพทย์ แต่มาเรียนลึกลงไปถึงระดับโมเลกุลกันเลย ชั่วโมงเรียนวิชาพวกนี้เป็นเวลานอนของพวกเราเหล่าแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ที่กินนอนไม่เคยตรงเวลา
ทฤษฎีต่างๆทางศัลยศาสตร์ได้จากการอ่านตำราบวกกับฟังรุ่นพี่หรืออาจารย์พูดเวลาดูคนไข้ร่วมกัน หรือเวลามีกิจกรรมวิชาการเช่น MM หรือระหว่างทำผ่าตัด
ส่วนภาคปฏิบัติได้จากการสังเกตและจดจำสิ่งที่รุ่นพี่และอาจารย์ทำ ไม่มีการสอบเลื่อนชั้น ใช้ประเมินการปฏิบัติงาน
การสอบมี ๒ ครั้งคือตอนปี ๑ สอบวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน ถ้าสอบผ่านจะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูงทางการแพทย์คลินิก ประกาศนียบัตรนี่ศักดิ์ศรีเหนือกว่าปริญญาตรี ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล เขาจะเริ่มจากปริญญาเอก ปริญญาโท ประกาศนียบัตรนี้ แล้วปริญญาตรี
คนที่สอบได้เกรดมากกว่า ๓.๐๐ มีสิทธิขอทำวิทยานิพนธ์ ๑ ชิ้น ถ้าผ่านจะได้ปริญญาโททางคลินิกเลย ไอ้เจ้าประกาศนียบัตรนี้เพื่อนผมบอกว่าต้องเก็บรักษาให้ดี เวลาเปิดคลินิกใส่กรอบสวย ๆ ติดที่คลินิกคนจะคิดว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำคลินิก เพราะเป็นประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูงทางการแพทย์คลินิก ฮิ ๆๆ
สอบอีกครั้งเป็นตอนจบ คราวนี้สอบระดับประเทศเป็นการสอบบอร์ด ไม่ว่าจะเรียนจากสถาบันไหนก็ต้องมาสอบข้อเขียนข้อสอบชุดเดียวกัน สอบปากเปล่ากับกรรมการชุดเดียวกัน
ช่วงที่เป็นแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ปี ๑ ไม่ว่าใครจะมาต่อเฉพาะสาขาไหนของศัลยศาสตร์จะต้องผ่านการปฏิบัติทุกสาขาเพื่อให้มีความรู้พื้นฐานทางศัลยศาสตร์ทั่ว ๆ ไปก่อน โดยจะหมุนเวียนทุก ๑ เดือน นอกเวลาราชการจะถูกจัดให้อยู่เวร ๓ อย่างคือเวรหน่วยที่เราปฏิบัติงานในเดือนนั้น ๆ เวรศัลยศาสตร์ทั่วไป เวรศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ ในแต่ละเดือนแทบจะหาวันหยุดไม่ได้ แต่เราจะมีช่วงพักเวรคือช่วงที่ผ่านห้องผ่าตัดเล็ก ๑ เดือน ช่วงนี้เราไม่ต้องออกตรวจ ในเวลาราชการเราจะเฝ้าห้องผ่าตัดเล็กคอยรับคนไข้ที่คนอื่นตรวจแล้วส่งมาเพื่อทำผ่าตัดเล็กเช่นจี้หูด ตัดไฝ ขลิบปลาย ตัดชิ้นเนื้อหรือต่อมน้ำเหลืองเพื่อส่งตรวจ นอกเวลาจะเป็นช่วงว่างปลอดเวร ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ทุกคนจะใช้สิทธิลาพักร้อน เพราะไม่กระทบกับการแลกเวรกับใคร
ห้องผ่าตัดเล็กในสมัยนั้นจะมีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นคนคุม ว่ากันว่าท่านมีเชื้อเจ้าทางเขมรเรียนจบแพทย์ศิริราช รุ่น ๕๙ แล้วไปเรียนต่อทางศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์หรือเกี่ยวกับการผ่าตัดกระดูกและข้อที่ฝรั่งเสศ เมื่อกลับมาเป็นอาจารย์ว่ากันว่าท่านเป็นสุดยอดอัจฉริยะมีแนวคิดแปลก ๆ ในการรักษาหรือผ่าตัด ประกอบกับอาจารย์ท่านอื่น ๆ ส่วนใหญ่จบจากอังกฤษและเยอรมัน ท่านจึงเหมือนเป็นตัวประหลาดจึงอยู่หน่วยศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ไม่ได้ ท่านจึงจบชีวิตหมอผ่าตัดใหญ่ปลีกวิเวกไปจมอยู่กับการทำผ่าตัดเล็กมาหลายสิบปี
พวกแพทย์ประจำบ้านจะเรียกท่านว่าป๋าเหลิมชาติ เพราะท่านชื่อเฉลิมชาติ ป๋าเหลิมชาติเป็นเจ้าเขมรหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ เวลามีงานสังสรรค์ของภาควิชาศัลยศาสตร์ทุกครั้งป๋าเหลิมชาติจะร้องเพลงเป็นภาษาเขมรที่พวกเราฟังไม่รู้เรื่อง
ตอนผมไปผ่านห้องผ่าตัดเล็กวันแรก ไปรายงานตัวกับป๋าเหลิมชาติ ท่านบอกว่ายินดีต้อนรับนายทหารหนุ่ม ท่านจะเปรียบเทียบนักเรียนแพทย์เหมือนนักเรียนนายร้อย พอจบไปเป็นหมอตามต่างจังหวัดเหมือนเป็นนายทหารหนุ่มที่ออกไปหาประสบการณ์ แล้วนายทหารหนุ่มกลุ่มหนึ่งจะกลับมาฝึกฝนพลังฝีมือเพิ่มเติม ป๋าเหลิมชาติบอกว่าเราจะสอนนายทำอะไรหลายอย่างที่นี่
มีคนไข้ถูกส่งมาตัดไฝ ผมก็จัดแจงเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือจะทำผ่าตัด ป๋าเหลิมชาติเดินมาโวยวายใหญ่เลยว่านายทหารหนุ่มที่ด้อยประสบการณ์จะไม่รู้ว่าไฝเป็นอะไรที่ไม่ต้องตัด แต่เราทำให้หายด้วยการเป่า เอาละสิ นายทหารหนุ่มอย่างผมชักงง ป๋าเหลิมชาติแกจะใช้วิชาไสยศาสตร์รักษาไฝได้ยังไง
ว่าแล้วป๋าเหลิมชาติก็ฉีดยาชาที่ไฝคนไข้ แล้วหยิบเครื่องจี้ไฟฟ้าที่เราใช้จี้เพื่อห้ามเลือดมาจี้ลงที่ไฝเบา ๆ เวลาจี้ไฝมันจะไหม้มีควัน ป๋าเหลิมชาติท่านก็เป่าควัน สิ่งที่เห็นคือผิวหนังมีรอยไหม้บาง ๆ ไม่ถึงกับพองและไฝหายไป
ในยุคนั้นการเป่าไฝของป๋าเหลิมชาติถูกมองว่าเป็นหัตถการประหลาดที่อาจารย์หลาย ๆ ท่านหัวเราะด้วยความขบขันในแนวคิดของป๋าเหลิมชาติที่ขัดกับสิ่งที่สอนกันต่อ ๆ มาว่าต้องผ่าตัดออก
แต่ถ้ามาดูในปัจจุบันนี้เราจะเห็นการจี้ไฝฝ้าด้วยเลเซอร์ตามคลินิกเสริมความงามต่าง ๆ ซึ่งก็ไม่ต่างการสิ่งที่ป๋าเหลิมชาติทำ เพียงแต่เปลี่ยนจากการจี้ด้วยไฟฟ้าเป็นการจี้ด้วยเลเซอร์ซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังไหม้น้อยกว่าไฟฟ้า
เรื่องของป๋าเหลิมชาติซึ่งเป็นอัจฉริยะที่กล้าทำอะไรผิดแผกไปจากคนอื่นก็คงไม่ต่างจากกาลิเลโอนักวิทยาศาสตร์ที่คิดอะไรแหวกแนวไปจากสิ่งที่ศาสนจักรในยุคนั้นสอนจึงเป็นตัวประหลาดที่ถูกต่อต้าน ถูกทำร้ายสารพัด แต่ในที่สุดโลกก็พบว่าสิ่งที่กาลิเลโอค้นพบและพยายามอธิบายคือสิ่งที่ถูกต้อง

ความคิดเห็น